.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี

เทศนาวันที่  7 ต.ค. 18 ช่วงเย็น  คริสตจักรพระคุณกรุงเทพ

มธ 20:29-34 บทเรียนจากคนตาบอด

“เมื่อพระองค์กับพวกสาวกกำลังออกไปจากเมืองเยรีโค มีมหาชนติดตามพระองค์ไป 30และมีคนตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมหนทาง เมื่อได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมา จึงร้องว่า “[องค์พระผู้เป็นเจ้า]ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาพวกข้าพระองค์เถิด” 31ฝูงชนก็ห้ามเขาทั้งสองและให้นิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องขึ้นอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาพวกข้าพระองค์เถิด” 32พระเยซูทรงหยุดยืนอยู่ ทรงเรียกเขามาและตรัสว่า “ท่านทั้งสองต้องการให้เราทำอะไรเพื่อท่าน” 33เขาทั้งสองทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้นัยน์ตาของข้าพระองค์ทั้งสองหายบอด” 34พระเยซูทรงแตะต้องนัยน์ตาของเขาทั้งสองด้วยพระทัยสงสาร ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็มองเห็น และติดตามพระองค์ไป”

พระธรรมตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์กำลังเดินทางจากเมืองเยรีโค มุ่งไปสู่เมืองเยรูซาเล็ม โดยการเดินทางครั้งนี้ มีมหาชนติดตามพระองค์ไปเป็นจำนวนมาก มีคนตาบอดสองคนร้องเรียกหาพระเยซู ซึ่งในช่วงยุคเวลานั้นคนตาบอดส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นขอทาน เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาในเมืองที่พวกเขาขอทานอยู่ พวกเขาจึงร้องเรียกหาพระเยซู คำถามที่น่าสนใจคือ พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้จะมาบังเกิดทางเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด พวกเขาตะโกนร้องอย่างนั้นจากข้อที่ 31 เราจะมาเรียนรู้จากคนตาบอดสองคนนี้

หัวข้อคำเทศนาคือ บทเรียนจากคนตาบอด

1.ความเป็นคนตาบอดไม่ใช่อุปสรรค

ในการเรียนรู้ว่าใครคือพระเจ้า

คนตาบอดเขารอปาฎิหารย์จากพระเจ้ามาตลอดทั้งชีวิต เพราะอาการตาบอดในสมัยนั้นไม่สามารถรักษาให้กลับมามองเห็นได้ ต่อให้เป็นสมัยนี้แม้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามากมายหากใครตาบอด บางครั้งก็ยากที่จะรักษาให้มองเห็นได้ แต่คนตาบอดสองคนนี้ เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าพระเยซูมาเสด็จมา พวกเขาจึงตะโกนเรียกหาพระองค์

อสย 9:6-7ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรามีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เราและการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่านและเขาจะขนานนามของท่านว่า“ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”7การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่านจะไม่มีที่สิ้นสุดบนพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาลความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์จอมทัพจะทำการนี้
พระคัมภีร์ได้พยากรณ์เรื่องของพระเยซูคริสต์ไว้ก่อนแล้วว่า พระเจ้าจะมาเป็นมนุษย์ในเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด คนตาบอดสองคนนี้เขามีความรู้จริง และพวกเขารู้อย่างถูกต้อง ดังนั้นเรื่องของพระเจ้าเราต้องเรียนรู้จากคนตาบอด คือ รู้ให้จริง และรู้ให้ถูกต้อง

ในประเทศไทยนี้มีส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยเคารพมากมายเต็มไปหมด คำถามคือว่า แล้วพระอะไร พระองค์ไหน ที่ใช่ ที่ถูกต้อง แต่พระเจ้าของคริสเตียนไม่ได้เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบที่คนไทยเชื่อ แต่พระองค์เป็นพระเจ้าที่เราต้องเรียนรู้ แสวงหาพระองค์ คนไทยส่วนใหญ่แสวงหาพระ แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่พอเป็นเรื่องของพระเจ้าที่สำแดงผ่านพระเยซู สำแดงผ่านพระคัมภีร์ คนไทยก็ไม่สนใจ ไม่ต้องการเรียนรู้จากพระเยซู ไม่เหมือน แต่คนตาบอดสองคนนี้ ที่เขาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าจากพระธรรมอิสยาห์ และเมื่อเขาได้เจอพระเยซูเขาก็ร้องเรียกหาพระองค์ในทันที บางคนด้วยความที่เป็นคนดี ทำดี ทำได้ดีอยู่แล้ว สิ่งนี้กลับเป็นอุปสรรคทำให้ไม่แสวงหาพระเจ้าอย่างที่ควรจะเป็น ขอให้เราอย่าปิดประตูใจในการเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า

2.คนตาบอดเรียนรู้เรื่องพระเจ้าจากคนอื่น

พวกเขาตาบอดทำให้อ่านหนังสือไม่ได้ แต่พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู จากการฟัง พวกเขาเชื่อในพระเยซู เพราะพวกเขาเคยได้ยินว่า พระเยซูรักษาคนใบ้ให้พูดได้ พระเยซูรักษาคนง่อยให้เดินได้ ดังนั้นการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่ควบคู่ไปกับความเชื่อ เมื่อเรามีความรู้ มีความเชื่อ สิ่งเหล่านี้สะสมเพิ่มขึ้นจนเป็นศรัทธาอันแรงกล้า

พวกเขารอจะที่พบพระเยซูเดินผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ขอให้เราเรียนรู้จากคนที่รู้จริง รู้อย่างถูกต้อง สมมติว่าเราเป็นคนตาบอด มีคนบอกว่ากุหลาบสีแดง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง เราไม่เคยเห็นกุหลาบ แต่เราเชื่อว่ากุหลาบมีสีแดงผ่านคนอื่นบอกให้เราฟัง ดังนั้นแม้เราไม่เห็นพระเยซูด้วยสายตาฝ่ายกายภาพ แต่การที่เรามีความเชื่อในพระเยซู ทำให้เรามีความหวัง คนตาบอดทั้งสองคนก็เช่นกัน เมื่อพวกเขาเรียนรู้พระเยซู จากการได้ยินเรื่องราวของพระองค์จากผู้อื่น พวกเขาก็รอคอยพระเยซู

3.คนตาบอดมีความเชื่อ

ทำให้เขามีความหวัง (29-30)

“เมื่อพระองค์กับพวกสาวกกำลังออกไปจากเมืองเยรีโค มีมหาชนติดตามพระองค์ไป 30และมีคนตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมหนทาง เมื่อได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมา จึงร้องว่า “[องค์พระผู้เป็นเจ้า]ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาพวกข้าพระองค์เถิด”

พระเยซูอยู่ไกลจากเมืองที่คนตาบอดสองคนนี้อาศัยอยู่มาก ในช่วงเวลาที่พวกเขาเคยได้ยินเรื่องของพระองค์ แต่วันนี้ เวลานี้ พระองค์เสด็จมาใกล้พวกเขามากๆส่งผลทำให้เรื่องที่เขาเคยได้ยิน ได้ฟังเกี่ยวกับการรักษาโรคของพระองค์ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ทำให้พวกเขาเกิดความเชื่อ และมีความหวัง

วันนี้ใครก็ตามที่อยู่กับความผิดหวัง พระเจ้าให้พวกท่านมีความหวังได้ ในสังคมไทยมีคนที่ต้องเผชิญกับความผิดหวังเต็มไปหมด ส่วนใหญ่ผิดหวังในเรื่องเล็กน้อย มันก็คงไม่ค่อยมีผลต่อเราเท่าไหร่ แต่หากเราผิดหวังในเรื่องที่สำคัญๆเราจะเป็นอย่างไร บางคนเมื่อผิดหวังมาก ก็กลายเป็นคนซึมเศร้า หรือบางคนก็ฆ่าตัวตาย แต่สำหรับคนตาบอดสองคนนี้ พวกเขามีความหวังในพระเยซู มีความหวังว่าพระองค์จะรักษาตาของพวกเขาให้มองเห็นได้ พวกเขามีความหวังพวกเขาจึงตะโกนเสียงดังขอให้พระองค์ช่วยรักษาพวกเขา
แต่เมื่อมีคนห้ามเขาไม่ให้พวกเขาร้องเรียกหาพระเยซู พวกเขากลับยิ่งร้องเรียกหาพระองค์เสียงดังมากยิ่งขึ้นไปอีก อ้วนวอนขอพระเจ้าให้เมตตาพวกเขาด้วย

คนไทยไม่ค่อยสนใจเรื่องของพระเจ้า ทำให้เสียโอกาสชีวิตที่มีความหวังแท้จริงได้ คนส่วนใหญ่ที่ผิดหวังเพราะมีความหวังในส่ิงที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณหวังในพระเยซู หากมีคนทำร้ายคุณพระเยซูจะช่วยคุณ ตราบใดที่พระเยซูไม่ได้บอกให้คนตาบอดหุบปาก พวกเขาก็จะไม่หยุดร้องเรียกหาพระเยซู เพราะคนที่ห้ามไม่ให้พวกเขาหยุดร้องไม่ใช่พระเยซู

พระเยซูไม่เคยปฏิเสธคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ บางคนไปถามพี่เลี้ยงว่าปัญหาหนักของเราเรื่องนี้พระเจ้าจะช่วยไหม พอพี่เลี้ยงตอบว่าพระเจ้าจะไม่ช่วยท่านในปัญหานี้แน่ๆ ท่านอย่าเพิ่งไปเชื่อ ขอให้ฟังเสียงของพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระผู้ช่วย ถ้าเป็นเสียงของพระเจ้าบอกว่าไม่ช่วยท่านในปัญหาหนักอย่างนี้แน่นอน ท่านค่อยเชื่อ สุดเอื้อมของมือมนุษย์จะถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรามีความหวัง แต่ถ้าเรามีความหวังในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เช่น หวังว่าจะถูกหวย หวยเป็นเรื่องเสี่ยงโชค พระเจ้าจะไม่ให้หวย แต่ถ้ามาเชื่อพระเจ้าท่านจะไม่ต้องเสี่ยงโชค

4.คนตาบอดรับความเมตตาของพระเยซู

ซึ่งมีน้ำใจมากกว่าฝูงชน

คนตาบอดมีอาชีพเป็นขอทาน พวกเขารอน้ำใจจากคนใจดีให้ทาน เหมือนๆคนไทย ขอทานก็จะไปรอหน้าประตูวัด พวกเขาหวังว่าถ้ามีคนมาวัดเยอะมาก ก็น่าจะได้เงินเยอะตามไปด้วย แต่ในเวลานี้ ตอนนี้ คนตาบอดขอพระเยซูคนเดียวเลย ไม่ได้ขอจากสาวก หรือขอจากฝูงชน

คนตาบอดมีความเชื่อที่ถูกต้อง เขาไม่สนใจน้ำใจจากคนอื่นที่มีความจำกัดในการช่วยเหลือเขา แต่ความเมตตาของพระเยซูไร้ขีดจำกัด เราลองสังเกตดูเมื่อเราได้มารู้จักพระเจ้า ชีวิตของเราก็มีทิศทางที่มีแต่ดีขึ้นๆ พระเจ้าพร้อมช่วยเหลือเรา หลายอย่าง ในชีวิตคนเรามีปัญหามากมาย เพราะคนแต่ละคนก็มีปัญหาของตนเองจึงไม่สามารถจะช่วยเหลือคนอื่นได้มาก แต่พระเยซูพร้อมช่วยเราในทุกเรื่อง เราต้องเรียนรู้จากพระองค์ ถ้าเราลองสังเกตดูจะพบว่า คนไทยเวลามีความเดือดร้อน เวลาไปขอยืมเงินพี่น้อง มีแต่คนไม่อยากช่วยเหลือ หากรู้ว่าจะมายืมเงิน บางคนก็หลบหนีคนที่จะมาขอยืมไปเลย

ข้อ 32 พระเยซูถามว่าท่านต้องการให้เราทำอะไรเพื่อท่าน พระเยซูเปิดโอกาสให้คนตาบอดอย่างมาก ในอดีตที่ผ่านมาคนตาบอดขอทานเคยอยากได้แต่เงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่วันนี้เขาอยากมองเห็น คุณค่าของสุขภาพที่ดีมีค่ามากกว่าเงินมากมายนัก หลายคนทำลายสุขภาพเพื่อจะได้เงิน เช่น ทำโอที ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่พักผ่อน ไม่หลับไม่นอน ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างถูกต้อง และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่ออกกำลังกาย ไม่ดูแลสุขภาพ สุดท้ายต่อให้ทำงานหาเงินได้เงินมากมายขนาดไหนก็ทำให้ตาที่บอดมองเห็นไม่ได้ หลายคนขายแรงงาน แต่อย่าเอาสุขภาพไปแลกกับเงิน ได้เงินมากแต่ป่วยใช้เงินรักษาโรคเงินหมดแล้วก็ยังป่วย คนตาบอดฉลาดคิด คนตาดีอย่าโง่กว่าคนตาบอด

บางครั้งคนเราไม่รู้ว่าตัวเองจริงๆแล้วต้องการอะไร เช่น บางคนบอกว่าต้องการภรรยา เพื่อมาซักผ้าเท่านั้น แสดงว่าจริงๆแล้วเขาต้องการเครื่องซักผ้าต่างหาก ไม่ใช่ต้องการเมีย บางคนต้องการเงินเพราะคิดว่าเงินเป็นแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไรก็ทำให้ได้ดั่งใจ อยากเปลี่ยนอะไรที่อยากได้ก็สามารถทำได้หมดเพราะมีเงิน จึงทุ่มเททั้งชีวิต ใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะหาเงิน

แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าควรเป็นส่ิงที่เราต้องการมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเราต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ ปัญหายากๆที่เราต้องตัดสินใจในทุกๆวัน ตั้งแต่ตื่นนอน หลายครั้งเราตัดสินใจจากสิ่งที่เราคุ้นเคย มันก็เลยง่าย เราก็เลยคิดว่าเราไม่ต้องตัดสินใจอะไรมาก จริงๆแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น หากเราเป็นคนจนที่มีสุขภาพที่ดี ยังดีมากกว่าการที่เรามีเงินมากแต่สุขภาพไม่ดี การที่เรายังกินได้ หัวเราะได้ ทำงานได้ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ดีกว่าการมีเงินทองมากมาย

เหตุการณ์ที่คนตาบอดนี้ได้พบพระเยซู เคยเกิดขึ้นมาสองพันกว่าปีแล้ว วันนี้เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นได้อีก พระเยซูจะช่วยอีกและพระองค์จะช่วยต่อไป หลังจากที่พวกเขามองเห็น พวกเขาหายจากอาการตาบอด พวกเขาก็ติดตามพระเยซูไป เพราะเขารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พวกเราควรเรียนรู้บทเรียนจากคนตาบอด ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยที่จะเรียนจากตาบอด ที่วันๆนั่งขอทาน ถ้าเขาให้บทเรียนที่ดีกับเรา

ตัวอย่างเรื่อง เรียนปลูกมะม่วงจากคนตาบอด
พระราชาอยากเสวยมะม่วง จึงประกาศว่าใครก็ตามที่หาต้นมะม่วงมาปลูกให้พระองค์ได้เสวย พระองค์จะพระราชทานรางวัลให้อย่างงาม ภายใน1 อาทิตย์ พระราชาได้เสวย มะม่วงจากชายหนุ่มคนหนึ่ง พระองค์ก็ถามเขาว่าเขาเรียนวิชาปลูกมะม่วงมาจากใคร เขาโกหกว่าเรียนมาจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งแห่งป่าโมกสักข์ ในทันใดนั้น ต้นมะม่วงก็เสื่อมลงและตายในทันที ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคนตาบอดผู้เป็นอาจารย์ที่สอนเขาปลูกมะม่วง มีความลับอยู่ว่า วันใดที่ศิษย์อกตัญญูต่อคนตาบอด มะม่วงที่เขาปลูกก็จะตาย ชายหนุ่มคนนั้นจึงไม่ได้รับพระราชทานรางวัลใดๆจากพระราชา

ตัวอย่าง อ.ประยูรเป็นคริสเตียน แต่ท่านไม่กล้าบอกใคร เวลามาคริสตจักรต้องโกหกว่าไปดูหนัง กลัวเพื่อนจะรู้ว่าเป็นคริสเตียน แต่พอเพื่อนรู้ว่าเป็นคริสเตียน ก็กลัวว่าเพื่อนจะไปบอกแม่ แลัวจะโดนว่ากล่าว แต่สุดท้ายเมื่อได้รู้จักพระเยซูอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีความกลัว ถ้าคุณแม่จะว่า นอกจากนี้ท่านได้พาคุณแม่มาเชื่อวางใจในพระเจ้า และชักชวนเพื่อนให้มาเชื่อวางใจในพระเยซูด้วย

ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

อาจารย์ประยูร
อาจารย์ประยูร

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้ติดต่อเรา
บทความถัดไปคำพยานชีวิต คุณกิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์ “ดียิ่งกว่าถูกหวย”