หน้าแรก คำสอน อบรมครูรวีพันธุ์แท้ มก10:13-16 นำเด็กให้มาถึงพระเยซู

อบรมครูรวีพันธุ์แท้ มก10:13-16 นำเด็กให้มาถึงพระเยซู

4295
0

.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี เทศนา เสาร์ที่ 17 ..2018 สาริกาโอโซน นครนายก

อบรมครูรวีพันธุ์แท้ (จัดโดยคริสตจักรเราสรรเสริญ WE praise Church)

มก10:13-16

ขณะนั้นมีบางคนพาเด็กเล็กๆ มาหาพระองค์เพื่อจะให้พระองค์สัมผัสตัวเด็กเหล่านั้น แต่พวกสาวกห้ามไว้ 14เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นอย่างนั้นก็ไม่พอพระทัย ตรัสกับพวกสาวกว่าจงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา 15เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ใครที่ไม่ยอมรับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ จะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้” 16แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆ เหล่านั้น วางพระหัตถ์บนตัวพวกเขา แล้วทรงอวยพรให้พวกเขา

คำนำ

ย้อนเวลากลับไปในเหตุการณ์สมัยนั้น ในเวลานั้น เด็กไม่มีคุณค่า หรือมีคุณค่าเท่ากับศูนย์ ซึ่งต่างกับสมัยปัจจุบันที่เด็กมีคุณค่าอย่างสูงมาก เพราะผู้ใหญ่เห็นคุณค่าเด็กมาก ดูได้จากมีการจัดงานวันเด็ก ในสมัยก่อนวันเด็กคือ จันทร์แรกของเดือนต..เป็นช่วงสมัยอาจารย์ประยูร แต่เด็กๆไปงานวันเด็กไม่ได้เพราะเป็นฤดูฝน มีฝนตกมาก จึงมีการเปลี่ยนในสมัยปัจจุบันนี้

ข้อสังเกตจากพระธรรมตอนนี้ คือ

1. พ่อแม่พาเด็กมาถึงพระเยซูไม่ใช่มาคริสตจักร

เมื่อเด็กมีค่าเป็นลบ แล้วมีคนพาเด็กมา ทั้งๆที่ตอนนั้นพระเยซูมีคนนับถือมากแล้ว คนจำนวนมากอาจจะไม่เห็นด้วยที่นำเด็กมาหาพระเยซู ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นคนพาเด็กมาสัมผัสกับพระเยซู เพื่อเด็กจะได้รับพระพร พ่อแม่มีศรัทธราสูงมากในพระเยซู พวกเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะได้มาถึงพระเยซู ค่านิยมสังคมเวลาไม่ให้คนไม่มีประโยชน์มาหาพระเยซู  เราจำได้ไหมมีคนยกแคร่หามมาเพื่อให้พระเยซูรักษา แต่พวกเขาเข้าไม่ถึงพระเยซู ต้องไปเจาะหลังคาดาดฟ้า เพื่อพาคนเจ็บป่วยให้มาถึงพระเยซู   

พ่อแม่คริสเตียนของเด็กในทุกวันนี้พวกเขาผิดพลาด เพราะพวกเขาพาลูกมาถึงเพียงที่คริสตจักร แต่พาเด็กๆมาไม่ถึงพระเยซูคริสต์

เช่น พวกเขาอาจจะพาเด็กมาถวายบุตรที่คริสตจักร  พวกเขาพาเด็กมานมัสการที่คริสตจักร พวกเขาคิดว่าเพียงพอแล้ว

เด็กส่วนใหญ่ที่มีปัญหาบางคนมาจากครอบครัวคริสเตียน เด็กทำตัวเป็นเจ้าพ่อในโบสถ์ เพราะพ่อแม่เขาเป็นศิษยาภิบาล เพราะพ่อแม่พาลูกมาคริสตจักรเท่านั้น  พ่อแม่ของเด็กตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในสมัยนั้นพวกเขาไม่ได้พาเด็กๆไปที่ธรรมศาลา แต่พวกเขาพาเด็กๆไปหาพระเยซู

ปัญหาทุกวันนี้ก็เพราะพ่อแม่ก็ไปไม่ถึงพระเยซูเช่นกัน เขาจึงไม่สามารถพาลูกๆไปถึงพระเยซูได้ ดังนั้นไม่ต้องไปว่าพ่อแม่เขาเดี๊ยวพวกเขาจะหาเรื่องพวกคุณ

ครูรวีต้องนำเด็กที่มาคริสตจักรอยู่แล้วไปให้ถึงพระเยซู เพื่อพวกเขาจะได้รับการสัมผัสจากพระเยซู ทั้งร่างกายจิตใจ วิญญาณ ทำให้เด็กต้องการพระเยซูแบบพ่อแม่ในสมัยนั้นจริงๆ

2.พ่อแม่ต้องฝ่าฝันพวกขัดขวางที่อยู่ใกล้ตัวพระเยซู

พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ ยินดีเจอการตำหนิจากคนใกล้ชิดพระเยซู  การทำงานกับเด็กเป็นอะไรที่จะไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ในชีวิตของเด็กได้ในพริบตา การปั้นชีวิตเด็ก ไม่เหมือนการปั้นดิน ที่สามารถปั้นเป็นอะไรให้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว บางครั้งเราตายไปแล้วเด็กนั้นยังไม่รู้เลยว่าเราสร้างเขามา ใช้เวลานานมาก

เป้าหมายคือ การพาเด็กให้มาถึงพระเยซู เป็นเชื้อที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กเหมือนที่พระคริสต์

กำหนด การทำงานกับเด็กต้องบอกว่าเหนื่อย เพราะเขาไม่ใช่ลูกรักของครูรวี บางครั้งเขาดื้อกับเรา บางครั้งเราไม่ได้อดทนเพียงพอสำหรับความดื้อ ความไม่น่ารักของเด็กสำหรับธรรมชาติของเด็กได้

บางครั้งพ่อไล่เด็ก บอกว่าไปให้ห่างๆเลยอารณ์ไม่ดี พ่อไม่ได้อดทนบนหน้าที่แต่ต้องอดทนเป็นความรัก ความเข้าใจเด็ก บางทีพ่อแม่ไม่อยากเสียหน้าเลยอดทนเอา

การลงทุนในเด็กคุ้มค่า เพราะบำเน็จพระเจ้าจะให้อย่างสาสมสำหรับผู้ที่ทำดีต่อเด็ก บางครั้งนักเทศน์อาจได้รับบำเน็จน้อยกว่าครูรวีด้วยซ้ำไป เทศน์เก่งไม่ได้บอกว่าเป็นคนดี ครูรวีมีอิทธิพลต่อชีวิตของเด็กอย่างมาก หลายครั้งครูรวีดูแลเด็กโดยไม่ได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม 

บางคร้ังเมื่อเด็กโตขึ้นเขาก็จดจำความดีของครูรวีไม่ได้ แต่ขอให้จำว่าพระเจ้าไม่มีวันลืม

ลูกหลานคริสเตียนบางคน พอโตขึ้นรู้เรื่องพระเยซู แต่ไม่ได้รู้จักพระเยซู ทราบได้อย่างไร ทราบได้เพราะเขาไปทำบาปกับคนในคริสตจักร เพราะเขาไม่ได้บังเกิดใหม่ กลับใจใหม่จากบาปจริงๆ

3. พระเยซูไม่พอพระทัยที่สาวกปฎิเสธเด็ก

การรู้นำ้พระทัยพระเจ้า คือ การไม่ขัดขวางเด็กในการมาถึงพระเยซู เราจะสังเกตได้ว่าสาวกขัดขวางให้เด็กมาไม่ถึงพระเยซู พวกสาวกเขาไม่ได้ขัดขวางพ่อแม่ให้มาหาพระเยซู แต่ขัดขวางเด็ก

ลองถามตัวเองดูว่า บางครั้งเราขัดขวางไม่ให้มีกิจกรรมเสริมสร้างเด็กหรือไม่ หรือเราไม่ให้งบประมาณเด็กอย่างเหมาะสม วันนี้มีหลายคริสตจักรไม่มีผู้สืบทอดเพราะในอดีตพวกเขาไม่เคยลงทุนกับการสร้างเด็ก พวกเขาไม่ไว้ใจเด็ก เมื่อพวกเด็กๆไม่มาถึงพระเยซู พวกเขาก็ไม่สามารถพาคนมาถึงพระเจ้าได้เช่นกัน ดังนั้นเราต้องเห็นความสำคัญของเด็ก เราต้องใช้เวลากับเด็กวันนี้ เพราะไม่นานเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่

สาวกปฎิเสธเด็ก ไม่ใช่ปฎิเสธพ่อแม่ ต่อหน้าเด็ก เด็กเขาจะรู้สึกว่า พวกเขาทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กรับผลเหล่านี้ไม่ได้

เด็กๆยังไม่มีความสามารถหรือภูมิต้านทานพอที่จะรับผลว่า พวกเขาทำให้พ่อแม่เดือดร้อนได้  เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เด็กไม่สบายใจ

หากเราไม่มีการเตรียมเด็กสำหรับอนาคต และเราไม่รู้ความต้องการของเด็กในปัจจุบัน เช่น พวกเขาต้องการด้านร่างกาย จิตใจ วิญญาณ อะไรบ้าง ทั้งๆที่เด็กเป็นวัยที่ไวมากต่อการปฎิเสธของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ของเขา  เด็กๆรับรู้ได้ว่าใครรักพวกเขา ใครปฎิเสธพวกเขา เขาฉลาดพอจะแยกแยะได้

ปัญหาสังคมวันนี้ของเด็กส่วนมากมีบาดแผลที่เกิดจากพ่อแม่ทำร้ายเด็ก  ทำให้มีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันในครอบครัว 

พ่อแม่ปฎิเสธลูกโดยไม่รู้ว่ามีผล กระทบต่อจิตใจเด็กมากเพียงไร

เช่น เด็กทำผิด ทำให้พ่อแม่ไม่พอใจ โดยเฉพาะเรื่องที่พ่อแม่สั่งห้ามแล้ว ย้ำเตือนแล้ว ทั้งคำพูด น้ำเสียง สีหน้า อารมณ์ของพ่อแม่เวลาที่โกรธ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กโดนปฎิเสธ

ทั้งที่จริงๆแล้ว เด็กอาจจะไม่อยากทำผิด พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเจอปัญหาจากการทำผิดพลาดจึงได้ตักเตือน แต่ไม่ว่าจะตั้งใจดีอย่างไร หากพ่อแม่แสดงอารมณ์โกรธออกมา เด็กก็จะคิดว่าพ่อแม่ไม่ต้องการเขาแล้ว ยิ่งพ่อแม่ทำอาการเหล่านี้มากขึ้นๆๆๆเท่าใด ยิ่งทำให้เด็กถูกปฎิเสธมากขึ้นเท่านั้น

ตอนเล็กๆเขาอาจจะไม่กล้าต่อเถียงกับพ่อแม่ แต่พอเขาโตอายุ14 เขาโตพอแล้ว ความเป็นเด็กก็ไม่เหลือแล้ว ตอนนั้นก็จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้นเพราะมีการทะเลาะเบาะแว้ง ต่อล้อ ต่อเถียงกับพ่อแม่ได้แล้ว

ต่อให้เด็กมีนิสัยไม่ดีอย่างไร เด็กๆไม่ควรถูกปฎิเสธจากพ่อแม่ 

ซึ่งการถูกปฎิเสธนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการทอดทิ้ง ยิ่งเด็กซน ต้องยิ่งอุ้มเขา ยิ่งเด็กๆต้องการความใกล้ชิดพ่อแม่เท่าไหร่ พ่อแม่อย่าแสดงการรังเกลียดเด็กให้เขารับรู้ได้ แต่ให้พ่อแม่รังเกียจบาป เวลาใช้ไม้ตีต้องระวัง ให้ใช้สติปัญญาในการตักเตือนเด็ก อย่าใช้อารมณ์

ตัวอย่าง คำบ่นของพ่อแม่ ตอนลูกอายุ13 เดี๊ยวนี้เป็นอะไรว่านิดว่าหน่อยไม่ได้หรือไง มาทำตาขวาง พูดน้อยลง แสดงออกถึงความก้าวร้าว ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่แม้แต่จะโต้เถียง แม้โดนตี แม้โดนถูกด่า ดังนั้นนี่เป็นเชื้อของความขมขื่น เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา จึงส่งผลให้แสดงผลออกมา

บางครั้งเด็กผิดทันที แต่อาจไม่ต้องสอนทันทีทั้งนี่เพราะเด็กเขาไม่พร้อมจะเรียนตอนนั้น เนื่องจากอาจจะมีอารมณ์เสียอยู่

ความจริงแล้วพวกเขาต้องการการยกโทษ และความรัก มากกว่าการอบรมสั่งสอน

พ่อแม่อย่าเสียโอกาสที่จะแสดงความรักกับลูกเวลาที่เขาผิดพลาด นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงความรัก

ตัวอย่าง ลูกชายอ.ประยูรทำแก้วใบโปรดของแม่แตกเพราะไม่ยอมกินนม อาจารย์ต้องคิดว่าก้าวต่อไปต้องทำยังไง อาจารย์ตะโกนบอกลูกชายว่าให้ยืนเฉย ไปอุ้มเขาออกจากทีเกิดเหตุเพื่อให้ปลอดภัย หลังจากนั้นให้ลูกช่วยไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาด แล้วอาจารย์ก็เช็ดทำความสะอาด แล้วเทนมให้ลูกชายกินแทนแก้วที่ทำแตกไป  หลังจากนั้นเขาก็กินนมได้ และเชื่อฟังพ่อได้อย่างดี

วันนี้ต้องขอพระเจ้าให้เรามีปัญญาในการแสดงความรักต่อเด็ก อย่าปฎิเสธเด็ก รักเด็กแม้เขาซน เขาดื้อ เด็กเกเรชอบแกล้งคนอื่น เราต้องแสดงความรักต่อเด็กเหล่านี้  ถ้าพ่อแม่ไม่ร่วมมือกับครูรวีที่บ้าน เด็กที่เราดูแลไม่สามารถถูกสร้างชีวิตอย่างดีได้ เพราะพ่อแม่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของเด็ก

4. พระเยซูอุ้มเด็กๆ และอวยพรเขา (14)

พวกสาวกกันพวกเด็กๆเพราะคิดว่าเด็กๆจะทำให้พระเยซูรำคาญใจ พวกเขาไม่รู้เลยว่าพระเยซูต้องการอวยพรให้เด็ก ครูรวีต้องทำงานกับเด็กด้วยหัวใจของพระเยซู  แตะต้องเด็กๆด้วยหัวใจของพระเยซู

พ่อแม่บางคนเข้าใจผิดคิดว่าคริสตจักรช่วยลูกได้ดีกว่าพ่อแม่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพ่อแม่ทำได้ดีกว่าครูรวี  แต่ครูรวีต้องช่วยพ่อแม่เด็กด้วย ให้ร่วมมือในการดูแลเด็ก

เด็ก คือ ปัจจุบันในคริสตจักรด้วย เด็กไม่ใช่แค่อนาคตของคริสตจักรอย่างเดียว

ดังนั้นอย่าขัดขวางเด็กให้มาถึงพระเยซู  อย่าสร้างกำแพงกับเด็ก แต่ให้เตรียมท่อพระพรผ่านชีวิตของเราไปสู่เด็กๆ จะดีกว่า

พระพรสำหรับเด็ก คือ เด็กก็ต้องการความรอดจากพระเจ้าเช่นกัน เด็กเป็นเป้าหมายการโจมตีของมารซาตาน เพราะเด็กช่วยตัวเองได้ไม่มาก มารไม่ปราณีเด็กเช่นเดียวกัน ดังนั้นในการทำลายคน เด็กก็ไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน

1.ขอให้เราช่วยให้เด็กทุกคนเห็นคุณค่าของตนเองตามที่พระเยซูกำหนดไว้

สร้างภูมิคุ้มกันตอบรับการปฎิเสธได้ พวกเด็กเขามีค่า พระเยซูตายเพื่อเด็ก

2.สอนให้เด็กเห็นคุณค่าของพระเยซูตามที่พระองค์ทรงเป็น

พระเยซูมีคุณค่าต่อชีวิตของเด็ก สอนพวกเขาให้รู้จัการอธิษฐาน เช่น สอนให้ลูกอธิษฐานเผื่อความเจ็บไข้ ไม่ไอหลับสบาย ลูกถามว่าทำไมพ่อไม่อธิษฐาน

2พศด16:12ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลของพระองค์ อาสาทรงเป็นโรคที่พระบาท และโรคของพระองค์ก็ร้ายแรง แม้ทรงเป็นโรคอยู่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ แต่แสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์ 

3.ช่วยให้เด็กเห็นคุณค่าน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเด็ก

เราควรช่วยกันปลูกฝังค่านิยมที่ดีในเด็ก เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะดำเนินชีวิตบนความยำเกรงพระเจ้า เพราะหากพวกเด็กๆเข้าใจคุณค่าทั้งสามประการนี้ เราไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำบาปหรือไม่

ตัวอย่าง ลูกสาวจบคอมพิวเตอร์แม้มีสิ่งสกปรกมากมายมาในอินเตอร์เนต อาจารย์ก็ไม่กังวลเรื่องลูกสาว เพราะเขามีภูมิถูกสร้าง เฝ้าเดี่ยวทุกวัน เรียนดีทำงานในสิงค์โปร์ แต่มารับใช้พระเจ้า ตอนนี้ไปเรียนพระคัมภีร์พันธกิจป.โท เขียนเรื่องหย่าร้างกับแต่งงานใหม่ได้ดี

ให้เรามองหาคนสืบทอดในคริสตจักรให้ได้ การสร้างเด็กแบบนี้เรามีความหวัง

บาปมีกลิ่น มีกลิ่นแสดงว่ามีขี้ คนทำบาปก็เป็นคนไม่ปกติ ต้องมีกลิ่น

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา
www.facebook.com/FORWARD.CH.TH
Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้สดด119:150 เผชิญการข่มเหงอย่างเข้าใจ
บทความถัดไปคส3:21 คุณพ่อฉลาด(smart)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่