หน้าแรก คำสอน ตอนที่ 1 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6

ตอนที่ 1 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6

5140
0

คริสตจักรขอบพระคุณ ๑๖ กพ. ๒๐๑๙

.ประยูร ลิมหุตะเศรณี สอนสัมมนารักซึ่งกันและกัน

สืบเนื่องจากหัวข้อที่ว่ารักซึ่งกันและกันเป็นข้อความที่เตือนใจเราทั้งหลายที่เป็นคนของพระเจ้าภายใต้ผลแห่งการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ ให้ตระหนักถึงความจริงที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นคนของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราหลายด้านด้วยกัน เช่น

การดำเนินชีวิตประจำวันของเราไม่ใช่เรื่องของใครของมัน ที่ต่างคนต่างทำ

การดำเนินชีวิตประจำวันของเราไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน   

การดำเนินชีวิตประจำวันของเราไม่ใช่เรื่องของการชิงชัยในเชิงธุรกิจกับผู้ที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน

การดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นเรื่องของการทำพันธกิจเดียวกันตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์เดียว กัน ต้องทำร่วมกัน และต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากความรักซึ่งกันและกัน

เรื่องของความรักเป็นอารมณ์ที่เราเลือกได้ เราเลือกที่จะรักใครได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลว่ามีดีเพียงพอหรือไม่  เมื่อมีความรักแล้ว เรายังเลือกที่จะรักแค่ไหนด้วย

ความรักจึงขึ้นอยู่กับสิทธิของเรา เราเลือกที่จะรักแต่ละคนแบบไหน เช่น เรารักพ่อแม่อีกแบบ แม้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดก็มีความแตกต่างในการรักได้ สำหรับพี่น้องของเรา เราก็รักกับแต่ละคนแต่ละแบบแตกต่างกัน รักตำรวจอย่างหนึ่งคนละแบบกับเวลาโจรเข้าบ้าน กับเวลาโดนตำรวจจับ เรารักผู้รับใช้แต่ละคนก็แต่ละแบบเช่นกัน

ขอให้ข้อมูลพื้นฐานเรื่องความรัก สี่แบบ ให้เราเข้าใจก่อนจะเรียนด้วยกัน

1.รักบนพื้นฐานเงื่อนไข 

ฉันจะรักคุณ ถ้าหากว่าคุณทำดี หรือจะทำดีด้วย เช่น ลูกเรียนดีซื้อไอโฟนให้ ความรักแบบนี้เป็นพื้นฐาน รักตามที่กำหนดจะให้ของ เป็นส่ิงตอบแทน หลายคนกำหนดเงื่อนไขความรักมากมาย  บางคนหาคนแต่งงานไม่ได้เพราะยังมีเงื่อนไขเยอะ

2.รักเพราะว่า

ความรักแบบนี้เป็นแบบมีเหตุมีผล

3.รักเพื่อว่า

เป็นความรักแบบเสียสละ ทำเพื่อคนที่เรารัก

4.รักถึงแม้ว่า

เป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข

ในการสัมนาครั้งนี้เราจะพิจารณาข้อเท็จจริงบางประการที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาวิถีชีวิตของเราทั้งหลายแต่ละคนเป็นส่วนตัว ว่าต้องปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม หรือตัดทอนอะไรบ้าง เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำเนินชีวิตประจำวันของเราให้ตรงตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ในหัวข้อครั้งนี้

ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วยให้เราทั้งหลาย เปิดใจออกฟังเสียงของพระเจ้า ที่จะตรัสกับเรา แต่คนเป็นส่วนตัวผ่านทางการประยุกต์จากพระธรรม โรม15:1- 6 ด้วยความถ่อมใจ

พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อข้อบกพร่องของคนที่อ่อนแอ ไม่ควรทำอะไรตามความพอใจของตัวเอง 2เราทุกคนจงทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความเชื่อของเขา 3เพราะว่าพระคริสต์ไม่ทรงทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์เอง ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยท่าน ตกอยู่แก่ข้าพระองค์” 4เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์ 5ขอพระเจ้าผู้เป็นแหล่งความทรหดอดทนและการหนุนใจ ทรงช่วยให้ท่านทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์ 6เพื่อท่านจะได้พร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

รม.15:1 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 1 เป็นเรื่องผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ข้อความที่ว่าผู้ที่มีความเชื่อเข้มแข็งหมายถึงคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ความรักไม่ใช่เรื่องของการรับแต่เป็นเรื่องของการให้ พระเจ้าเป็นความรักยน3:16 พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ความรักไม่ใช่เรื่องของเด็กเพราะเด็กต้องการความรัก แต่ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้ให้ วิญญาณเด็กยังไม่ถูกพัฒนาที่จะให้  เด็กเรียกร้องให้รักเขาอย่างเดียว

รักซึ่งกันและกันต้องรู้จักให้ ต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องรู้จักให้ ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณต้องรัก ต้องให้ 

เราสังเกตเด็กเล็กๆ ตีสามยังร้องไม่สนใจความเหนื่อยของพ่อแม่ เด็กเรียกร้องแต่ความต้องการของตนเองฝ่ายเดียว แต่ผู้ใหญ่ต้องแสดงความรัก  ทารกฝ่ายวิญญาณมีความเชื่ออ่อนแอ แต่ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณมีความเชื่อเข้มแข็ง มีลักษณะดังนี้ในข้อ 1 นี้ชี้ให้เห็นลักษณะของของผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ ไว้หลายประการ เช่น

) มีความเชื่อเข้มแข็ง

หมายถึง เชื่อมั่นคงไม่ดีไม่ร้าย ความเชื่อไม่เป็นไปตามอารมณ์ดีหรือร้าย เช่น สะดุดคน ก็ไม่รักแล้ว

อฟ4:14เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและพัดไปพัดมาด้วยลมคำสั่งสอนทุกอย่าง ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ตามอุบายที่ฉลาดในการล่อลวง

พระธรรมตอนนี้บอกว่า เราไม่เป็นเด็กอีกต่อไป เด็กมันสบาย ได้รับการตามใจ พระเจ้าไม่อยากให้เราเป็นเด็ก พระเจ้าอยากให้เราเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องทำตัวเป็นเด็ก แสดงออกไปตามความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ดีไม่ดี ไม่หันไปเหมา พระเจ้าอวยพรเราเพื่อพระประสงค์ให้เรารับใช้พระเจ้า

นอกจากนั้น พระธรรม 2ธส.1:3 พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสมควรยิ่งเพราะความเชื่อของท่านจำเริญขึ้น และ ความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นด้วย

ยังชี้ให้เห็นควาสัมพันธ์ของความเชื่อที่เข้มแข็งกับความรักกันและกัน ความเชื่อที่เข้มแข็งจะสัมพันธ์ไปในทางเดียวกับความรัก ความเชื่อเจริญขึ้นความรักก็ทวีขึ้น ถึงเวลาที่จะให้ได้แล้วไม่ใช่รอแต่รับ พื้นฐาน คือความเชื่อที่เจริญเติบโตต่อเนื่อง มีความรักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องให้เพิ่มขึ้น ความรักซึ่งกันและกันก็ทวีเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นคริสเตียนต้องรักไม่มีข้ออ้างที่จะไม่รัก เพราะพระเจ้ารักเราทุกๆเรื่องอย่างที่เราเป็น พระเจ้าให้เรารักแม้กระทั่งศัตรู ศัตรูหิวหาอาหารให้เขากิน คนที่เป็นผู้ใหญ่จึงแยกแยะได้ แต่สำหรับเด็กเกลียดอย่างเดียวแยกแยะไม่ได้ ดังนี้

) มีความอดทนต่อข้อบกพร่องของคนที่อ่อนแอ.

คำว่าอดทนหมายถึง เขาจะบกพร่องอีกในอนาคตข้างหน้า เราก็อดทนอีก เพราะคนอ่อนแอเขาก็จะบกพร่องอีก เราต้องอดทนจนคนๆนั้นโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เข้มแข็งขึ้น เราก็ไม่ต้องอดทนแล้ว เพราะพระคำของพระเจ้ามีไว้เพื่อเราเปลี่ยนแปลง

เราต้องไม่รู้สึกเบื่อในความบกพร่องของคนอื่นๆ ที่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่เราจะเข้าใจ เรารู้ว่าเพราะเขาไม่แข็งแรง เขาไม่เติบโต เขาไม่เป็นผู้ใหญ่ เขาเลยบกพร่อง บางคนที่ป่วยต้องกินยาทุกวัน แต่เขาก็ยังลืมได้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญ เราก็ต้องไม่รู้สึกเบื่อ ไม่รู้สึกรำคาญ

) ไม่ทำตามความพอใจของตนเอง

แปลว่า เวลาเราจะทำอะไร ให้เราจะคิดถึงผลกระทบต่อคนรอบข้างให้มาก หากเราทำอะไรลงไป พูดอะไรลงไป จะเกิดผลกระทบจะดีหรือร้าย หากมีผลร้ายจะเกิดขึ้น แม้เป็นเรื่องจริงเราก็ไม่ควรพูด

ก่อนพูดต้องคิดก่อนว่ามีผลกระทบต่อคนฟังไหม มีผลกระทบอะไร ดีใจ หรือเจ็บปวด หรือขมขื่น เราก็ไม่พูด แต่เราไม่ต้องกลัวว่าคนจะไม่เติบโตหรือเอาแต่ใจตัวเอง แต่เราทำเพื่อจะเสริมสร้างความเชื่อของคนที่อ่อนแอ

พระเยซูบอกว่าเปโตรจะปฎิเสธพระองค์ แต่เปโตรเขายืนยันว่าจะตายเพื่อพระองค์ ข้อสังเกตเด็กที่ไม่มีอำนาจอะไรทำให้เปโตรปฎิเสธพระเยซู  ไม่ใช่ซีซาร์ที่มีอำนาจมาก เปโตรเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก พอพระองค์เป็นขึ้นจากตาย ไปเจอหน้ากันกับเปโตร พระเยซูไม่มีคำพูดอะไรซักคำ ที่ทำให้เปโตรเสียใจ พระเยซูคำนึงถึงความรู้สึกเปโตร พระองค์แสดงถึงความไว้วางใจเปโตร ให้ดูแลฝูงแกะของพระองค์ที่ได้ตายเพื่อพวกเขา พอเปโตรเติบโตขึ้นแม้ปุโรหิตหรือทหารข่มเหงให้เลิกประกาศพระเยซู เปโตรเขาก็ไม่ปฎิเสธ นอกจากนี้เรายังเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่เรียกร้องให้เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่อีกหลายตอน

ฮบ6:1เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระ   คริสต์ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจาก การประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 

พระธรรมตอนนี้หนุนใจเราให้โตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว

1คร 3:1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับพวกที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดเหมือนพวกที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับพวกที่เป็นทารกในพระคริสต์

เปาโลผิดหวังโตแล้วยังทำตัวเป็นทารก 

1คร13:11เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก

หากเราเป็นเด็ก เราก็จะคิด จะพูดแบบเด็ก แต่พอเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็จะเลิกทำตัวเป็นเด็ก

การเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณทำให้แสดงออกความรักเป็นรูปธรรมได้ ทำให้เรารักโดยเอากุหลาบไปให้ได้ แม้เขาเกลียดเอาส้นเท้าไป เราจะไม่ทำอะไรเพื่อความสะใจของเรา สำทับไปให้สะใจเท่านั้น

2. รม.15:1 ข้อเท็จจริงของผู้ที่ความรักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 2 ต้องเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณทุกๆคนในคริสตจักร

มีคำที่น่าสังเกตในเรื่องนี้จากพระธรรมข้อนี้คือคำว่า พวกเรา ในที่นี้หมายถึงพวกเราที่เป็นคนของพระเจ้า ทุกคนในคริสตจักรต้องเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่ผู้นำ ผู้ปกครอง ความเติบโตเป็นความรับผิดชอบของคนของพระเจ้าทุกคน ต่อพระเจ้า เนื่องจากการเจริญเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณเป็นความรับผิดชอบของคนของพระเจ้าทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ .เปาโลได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระธรรม

อฟ.4:13ว่าจนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า   จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่   คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้วแต่ต้องโตต่อไป ไม่ใช่หยุดโต ตรงกันข้ามกับฝ่ายร่างกายธรรมชาติที่แก่ลงเรื่อยๆ ส่วนฝ่ายวิญญาณโตได้เรื่อยๆจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ นอกเหนือจากการที่เราต่างคนต่างต้องรับผิดชอบในการพัฒนาตัวเองเพื่อการเจริญ เติบโตสู่ความเป็นผู้ ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว คนของพระเจ้าทุกคนที่มีความรักซึ่งกันและกันยังต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตของกันและกัน ตามที่ปรากฏในพระธรรม

อฟ.4:11-12และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ 12เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์

จะสังเกตเห็นว่าของประทานในพระธรรมตอนนี้ไม่มีสักประการเดียวที่ทรงประทานให้แก่เราเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง ล้วนแต่ประทานให้เราเพื่อจะได้เป็นพรสำหรับคนอื่นทั้งสิ้น มีของประทานเพื่อเสริมสร้างพระกาย บนพื้นฐานความรัก

อย่าเสริม สร้างคนอื่นถ้าไม่รักเขา คนได้รับความรักเขาจะได้รับการเสริมสร้าง

สังเกตว่าของประทาน เป็นเรื่องที่พระเจ้าให้เป็นพรเพื่อคนอื่น ลองสำรวจตนเองดูว่า เราเคยส่งเสริมคนอื่นบ้างไหมตามของประทานของเราไหม ขอให้เราไม่ดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เครื่องมือต่างๆที่เราใช้ เช่น ไลน์ โทรศัพท์ ก็ให้ใช้เพื่อการเสริมสร้างผู้อื่น ตัวเราก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้าเช่นกันในการเสริมสร้างคนอื่น หลายคนกว่าจะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้ต้องอาศัยคนหลายคนในการเสริมสร้าง ไม่ใช่ใช้คนๆเดียวในการเสริมสร้าง

ภายใต้สัจจะธรรมดังกล่าว ขอให้เราต่างคนต่างสำรวจดูตัวเราเองว่า การ ดำเนินชีวิตของเราแต่ละคนที่ผ่านมานั้น เรามีส่วนในการเสริมสร้างคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างเราตามของประทานที่เรามีอยู่อย่างชัดเจนมากน้อยเพียงไร

นอกจากนี้ ยังมีสัจจะธรรมอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการมีส่วนในการเสริมสร้างคนรอบข้างให้เติบโตขึ้นนั้นคือการที่ คนๆหนึ่งจะก้าวเข้ามาสู่ชีวิตใหม่และเจริญเติบโตขึ้นสู่ความเป็นผู้ใหญ่จนสามารถที่จะเสริมสร้างคนอื่นต่อๆ ไปได้นั้นต้องอาศัย

ผลงานของ ผู้ประกาศเพื่อนำมาถึงซึ่งการบังเกิดใหม่ (หลายคน)

ผลงานของ ศิษยาภิบาลเพื่อนำมาถึงซึ่งความเจริญเติบโต (หลายคน)

ผลงานของ อาจารย์เพื่อนำมาถึงซึ่งความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า (หลายคน)     

งานของพระเจ้าในด้านการเสริมสร้างคนไม่ได้ผูกขาดไว้ที่คนใดคนหนึ่งหรือของประทานย่างไรอย่างหนึ่ง และไม่ใช่ผลงานของ ฮีโร่ หรือ ซุบเปอร์แมน แต่เป็นผลงานแห่งความรักของคนของพระเจ้าทุกคนร่วมกัน

จุดเด่นอีกประการหนึ่งของคนของพระเจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณคือ รู้จักของประทานของตนเองอย่างชัดเจน และใช้ของประทานนั้นเพื่อ เสริมสร้างชีวิตให้พี่น้องคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างตัวเราเจริญเติบโตขึ้นสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เพื่อก้าวสู่การเป็นพรในด้านการเสริมสร้างคนรุ่นต่อไป จะไม่เลิก หรือหยุดในการเสริมสร้างคนอื่น ด้วยความรักของพระเจ้าในชีวิตของเขา

ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณจะไม่เลิกหรือหยุดที่จะรับใช้พระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเสริมสร้างคนอื่นด้วยการลาออก จากเหตุผลต่อไปนี้

1.PEOPLE

คนหรือใครบางคนในคริสตจักร ทำให้เราไม่พอใจ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำให้เราหยุดรักซึ่งกันและกันตามมาตรฐานของพระเจ้า

2.PRESSURE

ความกดดันสูง มารเป็นผู้ทำ แต่เราไม่เลิกเสริมสร้าง โยบถูกกดดันหลายอย่าง แต่โยบไม่เลิกนมัสการพระเจ้า ความกดดันสูงพระเจ้าจะช่วยเรา คนทุกวันนี้ถูกกดดันมากพอแล้วอย่าไปกดดันเพิ่ม

3.PERSPECTIVE

ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ไม่ยอมรับว่าคนอื่นดีกว่าตนเลยเกิดความขัดแย้ง พระคัมภีร์สอนให้เราให้เกียรติผู้อื่น เพราะมีเหตุผล แต่เราไปไม่ถึงเหตุผลของพระเจ้าต่างหาก

4.PROBLEM

ปัญหา ไม่ทำให้เราหยุดเสริมสร้าง ปัญหาไม่ใช่เหตุในการทำให้เราเลิกเสริมสร้างคนอื่น เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยปัญหาอยู่แล้ว

5.PAIN

มีบาดแผลเจ็บใจ โดนซ้ำเติม โดนใส่ร้าย โดนสืบสวนสอบสวน ให้ดูพระเยซูมาในโลกเพื่อรักคนที่ทำร้ายพระองค์ นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนให้เราทำแบบนั้น

6.PRICE

ค่าตอบแทน มีหรือไม่มี น้อยหรือต่ำ อย่าให้ผลตอบแทนเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจไม่เสริมสร้างผู้อื่น

3. รม.15:1 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีควารักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 3 ต้องมีความอดทน

จากพระธรรม 1คร.13:4ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง

ชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ความอดทนนี้เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ความอดทนเป็นผลของความรัก ความรักนั้นก็อดทนนาน การที่เราทั้งหลายต่างก็ได้เข้ามาเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในพระกายขององค์พระเยซูคริสต์ และได้มารวมตัวกันจากที่ต่างๆกัน มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย สิ่งที่เราทุกคนจะต้องทำคือ เรียนรู้จักที่จะรับใช้พระเจ้าร่วมกันด้วยความรักที่มีต่อกันและกัน

คำว่ารับใช้ร่วมกันเป็นคำพูดที่พูดง่าย ฟังเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ทำยาก เพราะคนเราโดยทั่วๆ ไปนอกจากจะมีความแตกต่างกันมากมายหลายด้านดังที่กล่าวมาแล้ว แล้วยังมีขอบเขตความอดทนที่จำกัดไม่เท่ากันอีกด้วย เมื่อเราอดทนไม่พอ (หมดความอดทน)

ความรักหมดเพราะความอดทนหมด ไม่หมดรักจะอดทน

เราก็ไม่สามารถที่จะรับใช้พระเจ้าร่วมกับคนอื่นอีกต่อไป ไม่สามารถที่จะเป็นพระพรต่อพี่น้องที่ร่วมรับใช้ด้วยกันได้อีกต่อไป ส่งผลให้เกิดความกดดัน จนบางคนต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งในสองประการต่อไปนี้เพื่อรักษาชีวิตการรับใช้พระเจ้าของตัวเราเองให้คงอยู่ต่อไป

1. เสนอตัวเราเองออกจากการรับใช้ร่วมกับคนอื่นที่เราไม่สามารถอดทนต่อเขาได้

2. เสนอตัวบุคคลผู้นั้นให้ออกจากภาคของเราหรือคจ.ของเราเมื่อเราอยู่ในตำแหน่งสูงพอ และมีสิทธิอำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้

1ธส5:11พราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น

เรียนรู้จะเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เสริมสร้างคนอื่น รับการเสริมสร้างจากคนอื่น เสริมสร้างตนเอง

ยด20 แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

เราต้องให้ ต้องรับ และพัฒนาตนเอง เช่น คนเรียนพระคัมภีร์อย่างเดียวไม่ทำอะไร จะไม่โต ต้องทำเพื่อคนอื่นด้วย เราเคี้ยวอาหารฝ่ายวิญญาณจากคนอื่นเมื่อไหร่เราจะโต

ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราที่เป็นรูปธรรมให้เจริญมากขึ้นทุกวัน จนเราสามารถที่จะรัก และอดทนต่อกันและกันได้ด้วยความยินดี

คส.1:11ให้พวกท่านมีกำลังด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้นตามอานุภาพแห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อให้ท่านมีความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่ง พร้อมทั้งมีความยินดี

มีความทรหดอดทน และอดทนต่อไป ไม่ขมขื่นพร้อมทั้งมีความยินดี คริสเตียน ไม่หย่ากันเลยถ้าเข้าใจความจริงเรื่องนี้ เราไม่ใช่โรคจิตที่สามีไม่ดีกับเราเราต้องอดทน คนหย่าคือ สิ้นคิด เลิก ต่างคนต่างไป คิดไปต่อไม่ได้แล้ว

และรักษาความ สัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ดีขึ้นทุกวัน เนื่องจากความรักของพระเจ้าหลั่งเข้าสู่จิตใจของเราทางพระวิญญาณบริสุทธิ์

รม5:5และความหวังจะไม่ทำให้ผิดหวังเพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว

ตอนยังไม่เป็นคริสเตียนเรานอบน้อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เป็นแบบนั้นกับพระเจ้าด้วย ความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความรักของเราจะเบ่งบานเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

มีสติปัญญาชาญฉลาดในการรัก ไม่ใช่หลงรัก ทำตามแม้ไม่ถูกต้อง ไม่เรียกว่ารัก เรียกว่าหลง

ให้รักแบบสว่างไม่ใช่มืดๆ  ความรักไม่เหมือนโคถึก  เราอดทนกับคนต่างกันเรื่องต่างกัน เช่น อดทนกับลูกได้อดทนกับเมียไม่ได้ ต้องถามว่าทำไมอดทนไม่ได้แล้วพัฒนา อดทนได้นานแค่ไหน อดทนได้กี่เรื่อง

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

 

บทความก่อนหน้านี้อพย 20:1-3 อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา เพราะพระเจ้าอื่นไม่มี
บทความถัดไปตอนที่ 2 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่