วันนี้เราจะมาดูเรื่องของหญิงชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ไม่ถูกกันกับยิวหรือ เกือบๆเป็นศัตรูกับคนยิวทีเดียว มีความขัดแย้งต่อกันรุนแรง  แต่หญิงชาวสะมาเรียกลับมาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ ทั้งที่พระองค์เป็นคนยิว และนางมีความสนใจในการนมัสการพระเจ้าของอิสราเอลด้วย ให้เรามาศึกษาพระธรรมตอนนี้ด้วยกัน

1เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินข่าวว่า “อาจารย์เยซูมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น” 2(ความจริงพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้) 3พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก 4พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย 5จึงเสด็จผ่านเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่ยาโคบให้กับโยเซฟบุตรของตน 6บ่อน้ำของยาโคบก็อยู่ที่นั่น พระเยซูทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เวลานั้นประมาณเที่ยง

7มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” 8ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง 

9หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?”  (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย) 

10พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ” 11นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? 12ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย” 13พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 

14แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” 

15นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”

16พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่” 17นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี 18เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง” 

19นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ 

20บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม” 21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม 22สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว 

23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ 24พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 

25นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” 26พระเยซูตรัสกับนางว่า

“เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น”

27เมื่อพวกสาวกของพระองค์กลับมา พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับนาง?” 28ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า 29“มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ

ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” 

30คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์

31ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เชิญรับประทานเถิด” 32แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” 33พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์แล้วหรือ?” 34พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ 35พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน 37คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ 38เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา”

39ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงคนนั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ” 40ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึง พวกเขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับกับเขา และพระองค์ก็ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน 41และจำนวนคนที่วางใจในพระองค์ก็เพิ่มขึ้นเพราะพระดำรัสของพระองค์ 

42พวกเขาพูดกับหญิงคนนั้นว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราเชื่อนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง”

“ก้าวที่ 7 ชีวิตที่นมัสการพระเจ้า ยน4:1-42″

A : Attitude

เราได้รับความรู้ใหม่ๆ หรือเราได้รับทัศนคติใหม่ๆ จากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ตอนที่อ่านเรื่องอะไรบ้าง?

ตอบ   การนมัสการพระเจ้า คือ การแสดงความเคารพรักบูชาพระเจ้า เป็นภาพเหมือนการก้มกราบลงไปบนพื้น จูบพื้นตรงหน้าผู้ที่นมัสการ หรือก้มลง กราบลงที่เข่าของผู้ที่ตนรัก หรือถวายบังคม

เริ่มต้นจากการที่ผู้นมัสการนั้นได้รู้จักพระเจ้า เชื่อวางใจพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ก่อน เมื่อเราตระหนักว่าเราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เรากลับมาสู่การคืนกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ คนที่ได้รับการชำระบาป แล้วเขาจะเห็นคุณงามความดีของพระเจ้า เขาจะยกย่องชมเชย และเห็นคุณค่าความดีของพระเจ้า

เขาจะแสดงออกมาเป็นการนมัสการพระเจ้า

ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

การนมัสการเป็นความจริงแท้ของมนุษย์  เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาเพื่อให้นมัสการพระเจ้า เรานมัสการสิ่งใดเราก็จะเป็นเหมือนสิ่งนั้น เพราะเราเห็นคุณค่า บูชา เคารพรักสิ่งนั้น

ดังนั้นพระเจ้าสร้างมนุษย์ในพระฉายของพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เรานมัสการพระองค์ ไม่ใช่นมัสการสิ่งที่พระองค์สร้าง แต่ให้นมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดิน

C : Christ iN focus

เรามองเห็นพระเยซูเป็นใคร พระองค์ทำอะไรบ้าง ผ่านพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ตอนที่เราอ่านอย่างไรบ้าง?

ตอบ  พระเยซูให้ความรอดจากการลงโทษพิพากษา โดยเริ่มจากคนยิว หรืออิสราเอลก่อน และในที่สุดความรอดจะไปสู่คนต่างชาติ เพื่อคนทั้งโลกที่ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จะกลับใจใหม่จากบาปเชื่อวางใจพระเยซูคริสต์ กลับคืนดีกับพระเจ้า 

คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณและความจริงของพระเจ้าในชีวิต พวกเขาจึงนมัสการส่ิงต่างๆที่ไม่ใช่พระเจ้า เช่น กราบไหว้รูปเคารพ กราบไหว้ธรรมชาติ กราบไหว้สัตว์กราบไหว้พระอื่น หรือทำพิธีกรรมต่างๆ เป็นการนมัสการตามที่พวกเขาคิดกันว่าเป็นส่ิงที่ดีสำหรับตนเอง เป็นต้น 

การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง เป็นการนมัสการอย่างถูกต้องตามที่พระเจ้ากำหนด  คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงเป็นผู้มีจิตวิญญาณและความจริง พระเจ้ายอมรับการนมัสการเช่นนั้น  ก่อนหน้านั้นหญิงชาวสะมาเรียยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นเพียงผู้เผยพระวจนะ แต่ภายหลังยอมรับพระองค์เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า

ดังนั้นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้นจึงจะสามารถนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงได้

วิธีที่พระเจ้ากำหนดไว้นี้คือ ต้องยอมรับการยกโทษบาปจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าก่อน จึงจะนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องได้

T : Transformation

เราต้องการให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในด้านใดบ้าง?      

ตอบ การนมัสการพระเจ้าเป็นชีวิตปกติของคริสเตียน การนมัสการพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติ การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่การร้องเพลงในที่ประชุมเท่านั้น ไม่ใช่การทำพิธีกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์หรือวันสำคัญ แต่เป็นชีวิตส่วนตัวที่ได้นมัสการพระเจ้าจริงๆ ยกย่องพระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ประกาศเรื่องราวของพระเจ้าเพื่อให้คนมานมัสการพระเจ้า

การนมัสการต้องเป็นเป้าหมายที่สำคัญของชีวิตคริสเตียนตลอดเวลา และการดำเนินชีวิตแต่ละวันในโลกนี้ เราดำเนินโดยเห็นคุณค่าของชีวิตนิรันดร์ ที่พระเยซูคริสต์สละพระชนม์ชีพพระองค์เพื่อเรา  

S: Serve

เราจะดำเนินชีวิตเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และต่อพระเจ้าได้อย่างไรบ้าง?

ตอบ   ความรอดเป็นจุดเริ่มต้นของการนมัสการ เราควรประกาศความรอด แห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เหมือนหญิงชาวสะมาเรียคนนี้ที่ประกาศกับคนในเมืองให้มาเชื่อวางใจพระเยซูคริสต์

เพื่อผลปลายทาง คือ ชีวิตที่นมัสการพระเจ้านิรันดร์ เขาเหล่านั้นจะนมัสการพระเจ้าที่พวกเขารู้จัก ด้วยจิตวิญญาณและความจริงได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์  และดำเนินชีวิตใหม่รักษาความชอบธรรมที่พระเจ้ายกโทษความผิดบาปให้ ด้วยความตั้งใจนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิต ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

ขอพระเจ้าอวยพรท่าน ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้ก้าวที่ 6 ชีวิตที่เห็นคุณค่าพระคริสต์ (ลก10:38-42)
บทความถัดไปก้าวที่ 8 ชีวิตที่เข้าสนิทกับพระเจ้าด้วยการบัพติศมาในน้ำ (มก1:1-11)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่