หน้าแรก คำสอน รักซึ่งกันและกัน ตอนที่ 3 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6

ตอนที่ 3 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6

1940
0

คริสตจักรขอบพระคุณ ๑๖ กพ. ๒๐๑๙

.ประยูร ลิมหุตะเศรณี สอนสัมมนา ตอนที่ 3 รักซึ่งกันและกัน

7. รม.15:4 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 7 มีวิญญาณของการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความเพียร และความชูใจด้วยพระคัมภีร์

ในเรื่องนี้เราต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์ในมุมนี้ว่า หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราทั้งหลายในยามปกติ และเป็นคำตอบจากพระเจ้าในยามที่มีปัญหา เช่น 

เป็นคำสั่งสอนในยามที่เราหมดหนทาง เราค่อยไม่ฟังใครตอนมีปัญหา แต่พระคัมภีร์สั่งสอนเราได้

เป็นความหวังใจในยามที่เราหมดหวัง

เป็นแรงจูงใจให้เกิดความพยายามในยามที่เราหมดมานะ

เป็นความชูใจในยามที่เราหมดกำลังใจ ในสดุดีมีเต็มไปหมด

แต่ทั้งนี้เราต้องมีความถ่อมใจพอที่จะรับการสั่งสอนจากพระคำของพระเจ้าจริงๆ เพราะมีผู้รับใช้พระเจ้าไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้นำ ที่สูญเสียวิญญาณแห่งการเรียนไปอย่างสิ้นเชิง

อย่าให้มีวิญญาณแบบไม่รับการสอนไม่ได้ ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้อีกแล้วจากอะไรทั้งสิ้น และมีวิญญาณอีกตัวหนึ่งเข้ามาแทนที่คือ “Un-teachable Spirit”

วิญญาณที่รับการสอนไม่ได้ คือไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้อีกแล้ว ไม่ว่าจากใครทั้งสิ้น

และถ้าเรามีวิญญาณตัวนี้ “Un-teachable Spirit” ถึงแม้เราจะมีพระคัมภีร์ อ่านพระคัมภีร์ ท่องพระคัมภีร์ เราก็จะไม่ได้รับบทเรียนอะไรจากพระคัมภีร์ ต่อให้รู้พระคัมภีร์มากแต่ไม่สามารถมีบทเรียนชีวิตของเราได้ เหมือนนกกามาคาบเมล็ดพระวจนะที่หว่านได้เลย

แซมซันโดยเมียหลอกแล้วหลอกอีก เพราะไม่เรียนรู้ความเลวร้ายเหล่านั้นเลย ความรู้ที่ไม่ได้เรียนทำให้ถูกหลอก ถึงแม้จบโรงเรียนพระคัมภีร์ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย

     ยามหมดหนทาง อ่านพระคัมภีร์แล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น หมดหนทางเหมือนเดิม

     ยามหมดหวัง อ่านพระคัมภีร์แล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น หมดหวังเหมือนเดิม 

     ยามหมดมานะ อ่านพระคัมภีร์แล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น หมดมานะเหมือนเดิม

     ยามหมดกำลังใจ อ่านพระคัมภีร์แล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น หมดกำลังใจเหมือนเดิม

1ยน2:14 พระวจนะดำรงอยู่ในเราชนะมารร้าย

ทั้งๆที่มนุษย์ไม่เคยชนะมารเลย อยู่ใต้อำนาจมารร้าย พระเยซูเป็นพระวจนะเอาชนะมารร้ายได้

ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเห็นความอัศจรรย์ของพระวจนะได้ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผย ไม่ใช่พระวจนะไม่มีการอัศจรรย์ ใจเปิด ท่าทีเปิด วิญญาณการเรียนรู้ พระเจ้าจะสำแดงเปิดเผย

อฟ1:16-19 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณเพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลยเมื่อระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานของข้าพเจ้า 17ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจที่ประกอบด้วยปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ 18ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร 19และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์ 

ให้ตาใจสว่างขึ้น จิตใจประกอบด้วยปัญญา มาเรียนพระวจนะ

8. รม.15:5 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 8 ต้องพึ่งพาการอธิษฐานอย่างทุ่มเทเพื่อรักซึ่งกันและกัน

ขอพระเจ้าแห่งความเพียรและความชูใจ ทรงโปรดช่วยให้ท่านมี(ความเป็น)น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามอย่างพระเยซูคริสต์

พระธรรมข้อนี้เป็นคำอธิษฐานของอ.เปาโล ซึ่งแตกต่างจากเนื้อความในสี่ข้อแรก เพราะท่านรู้แก่ใจดีว่าเรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้ ถ้าท่านจะขอให้เราทั้งหลายทำเองโดยลำพังนั้นคงจะไม่ได้เรื่อง เพราะเป็นเรื่องที่ยากมากอีกเรื่องหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า เพราะเราขาดพื้นฐานคือ ความรักซึ่งกันและกันตามบัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์เจ้า

ยน.13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น 

พัฒนาการของคนของพระเจ้าในเรื่องนี้คือ  การรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้มั่นคงต่อๆไปซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ดีของคนของพระเจ้าทุกคน อย่าแบ่งแยกแบ่งกลุ่มแตกแยก แต่แบ่งกลุ่มเพื่อจะสัมพันธ์ที่ดีได้

หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่ ความรักซึ่งกันและกัน ถ้าผู้นำไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คือมีความสัมพันธ์แบบศักดินา วางตัวเป็นเจ้าเป็นนายคน อยู่ตลอดเวลา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และบรรยากาศของคริสตจักรก็จะเต็มไปด้วยความกลัว แทนที่จะเป็นบรรยา กาศแห่งความรัก เรื่องนี้เป็นงานยากมาก ต้องใช้ความอดทนและกำลังใจสูงมากซึ่งจะหาได้จากพระเจ้า

ในพระธรรมอฟ.4:13กล่าวว่าจนกว่า เราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” 

คำว่าจนกว่าแสดงว่าต้องมุ่งมั่นจนกว่าจะถึงเป้าหมาย คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อที่จะใช้เป็นฐานในการรับใช้พระเจ้าร่วมกัน

น่าเสียดายที่คริสตจักร  บางแห่งเคยเดินทางมาถึงจุดนี้ระดับหนึ่ง วัดได้จากการร่วมกันรับใช้ในอดีต แต่ค่อยๆถูกทำลายไปด้วยสาเหตุบางอย่างซึ่งแทรกแซงเข้ามาในคริสตจักรอย่างแนบเนียน มารู้ตัวอีกทีก็แตกแยกกันอย่างที่เป็นกันอยู่ในคริสตจักรบางแห่งในเวลานี้

สรุปความเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ในวันเวลาที่ผ่านมาคริสตจักรต่างๆในประเทศไทยต่างก็ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อที่จะ ให้คริสตจักรของเราบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และดูเหมือนว่าจะไปได้ถึงระดับหนึ่ง ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีความชัดเจนพอสมควร แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรหลายแห่งไม่สามารถรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้คงอยู่ต่อไปได้

ในพระธรรม อฟ.4:3 กล่าวว่าจงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ

จากสัจจะธรรมของพระธรรม อฟ.4:3 นี้ชี้ให้เราเห็นว่า การทุ่มเทเพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นยากกว่าการสร้างใหม่ ต้องทุ่มเทเพื่อที่จะรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้คงอยู่ต่อไปด้วยความเพียรพยายาม

ที่ผ่านมาดูเหมือนพวกเราบางคนไม่ได้เพียรพยายามที่จะรักษาความน้ำหนึ่งใจเดียวกันไว้เลย เห็นได้จาก การที่ผู้นำบางคนเพียงแค่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น ก็สามารถทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้อย่างราบคาบ

ถ้ายังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเพื่อพัฒนาพื้นฐานคุณภาพชีวิตในเรื่องนี้ คือ ความรักซึ่งกันและกัน ของพวกเราทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ผู้นำของคริสตจักร และสมาชิกทุกคน ให้ดีขึ้น การรับใช้พระเจ้าเพื่อเป็นพระพรต่อชุมชนทั้งในด้านการประกาศ และด้านการอภิบาลสมาชิกร่วมกันจะเกิดขึ้นได้ยากมาก

แม้แต่องค์พระเยซูคริสตเจ้า ทรงเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทรงใช้โอกาสสุดท้ายของชีวิตอธิษฐานเพื่อให้พวกเราทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กัน

(ยน.17:20-23)“ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา 21เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 22เกียรติซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์มอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์กับข้าพระองค์ 23ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

แนวทางบางประการเพื่อคงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

() ต้องระมัดระวังเรื่องความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นพิเศษ

โดยทั่วๆไป ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นเรื่องปกติของคริสตจักรที่มีสุขภาพดี เพราะฉะนั้นคริสตจักรที่มีความรักซึ่งกันและกันจึงไม่ใช่คริสตจักรที่จะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งกันทางความคิด 

เราต้องระวังอย่าปล่อยให้กลายเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน

เราต้องเรียนรู้จักการแยกความคิดเห็นของคนๆนั้นจากคนๆนั้น เมื่อเราไม่ชอบ ความคิดเห็นของเขา ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไม่ชอบตัวเขาด้วย

ความขัดแย้งทางความคิดจะสิ้นสุดลงทันทีที่การอภิปรายในเรื่องนั้นๆมาถึงบทสรุป โดยเสียงของ คนส่วนใหญ่

เราต้องระวังอย่าปล่อยให้อารมณ์ค้างเนื่องจากทิฐิที่เกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวบางประการหรืออคติ

บางอย่างที่มีต่อคนบางคน เป็นต้น ในเรื่องนี้เราต้องเรียนรู้จักการให้เกียรติคนอื่นตามแนวทางของพระคัมภีร์ โดยถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนส่วนใหญ่

เราต้องเรียนรู้จักการจัดการกับตัวเองให้หลุดพ้นจากความหงุดหงิด หรืออึดอัดที่จะทำตามบทสรุป นั้น (ตามข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกันประการที่3)

() ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตด้าน ความสัมพันธ์

การคำนึงถึงความสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับใช้ พระเจ้าด้วยกัน ในฐานะที่เป็นอวัยวะในพระกายเดียวกัน

Kurt Einstein บอกว่า “87 เปอร์เซ็นต์ของคนในที่ทำงานต่างๆทั่วโลก ล้มเหลวในการทำงานไม่ใช่เพราะพวกเขาทำงานไม่เป็น แต่เพราะพวกเขาเข้ากับคนที่ทำงานด้วยกันไม่ได้

John  C. Maxwell บอกว่า ถ้าคุณทำงานเพื่อตัวเองตามลำพังคุณอาจจะไม่ต้องใส่ใจในการสร้างความสัมพันธ์ มากนัก แต่ถ้าคุณต้องทำงานร่วมกับคนอื่น คุณต้องมี (หรือหาช่องทางที่จะรับการพัฒนาเพื่อให้มี) ความสามารถในการเข้ากับคนเหล่านั้นให้ได้อย่างสร้างสรรค์

คำถามเพื่อวัดอุณหภูมิของความรักซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

     1. พวกเราต่างก็มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     2. พวกเราต่างก็มีความห่วงใยและเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….   

     3. พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างเปิดเผย

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     4. พวกเราต่างก็มีความเข้าใจวัตถุประสงค์ของการรับใช้อย่างชัดเจน

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     5. พวกเราต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ของการรับใช้ด้วยกัน    

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     6. พวกเราเปิดโอกาสให้คนรอบข้างรับใช้ตามของประทานอย่างเต็มที่

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     7. พวกเราสามารถจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี   ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     8. พวกเราต่างก็มีส่วนร่วมอยู่ในงานของพระเจ้าด้วยกันทุกคน ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     9. พวกเราต่างก็เคารพสิทธิส่วนบุคคลของสมาชิกด้วยกันทุกคนเท่ากัน

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

     10. พวกเราต่างก็รู้สึกภูมิใจว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในคจ.นี้   

ใช่ …….. ไม่ใช่ …….

เรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ถ้ามีเนื้อหนังเข้ามาปนเปื้อนเมื่อไหร่ เรื่องนี้ก็จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น หรือที่มีอยู่ก็จะถูกทำลายไปด้วย

9. รม.15:6 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน

ประการที่ 9  มีชีวิตที่นมัสการพระเจ้าร่วมกันตลอดเวลา

เพื่อท่านทั้งหลายจะได้พร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เราทั้งหลายที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางพระเจ้า เราต้องเรียนรู้จักการดำเนินชีวิตทุกฝีก้าวด้วยท่าทีแห่งการนมัสการพระเจ้า ทุกลมหายใจเข้าออก

โดยการที่เรานำชีวิตของเรามาวางไว้บนแท่นบูชาเพื่อถวายตัวเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์แด่พระเจ้า

รม.12:1ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน

การนมัสการจึงเป็นเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าพระคัมภีร์จึงใช้คำว่าถวายตัวคือถวาย ทุกส่วนของร่างกาย ทุกส่วนของจิตใจ ทุกส่วนของจิตวิญญาณ ทุกส่วนที่เป็นความจริงในชีวิตของเราการนมัสการ เป็นการตอบสนองของเราต่อพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็นตามความรู้ความเข้าใจของเรา

เป็นการตอบแทนพระเจ้าที่พระองค์ทรงพอพระทัยมากที่สุด

เป็นการตอบสนองจากความรู้สึกลึกๆของเราที่มีต่อพระเจ้า ตามพระคุณ ความรัก ความเมตตา ความดี และความยิ่งใหญ่ของพระองค์

พระคัมภีร์ยังเปิดเผยให้เราเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับสาระของความบาปในชีวิตของมนุษย์อีกประการหนึ่ง ก็คือ มนุษย์ละเลยการให้เกีรยติพระเจ้า 

รม.1:21-23เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป 22ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป 23และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน

ดังนั้นการนมัสการจึงเกี่ยวข้องกับเพลงที่เราร้อง, เครื่องดนตรีที่เราเล่น,  คำอธิษฐานที่เราพูด, ท่าทางที่เราเคลื่อนไหว, อารมณ์ที่เราแสดงออก, ทรัพย์ที่เราถวาย, พระพรที่เราแบ่งปัน, คำเทศนาที่เราเสนอ, ความรู้ความเข้าใจที่เราฟังอาแมนที่เราตอบสนอง และเกี่ยว ข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ทั้งในห้องนมัสการและนอกห้องนมัสการ

ในพระธรรม 2พศด.5:13 ชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ทีมนมัสการของพระเจ้าเป็นผู้ประสานให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันท่ามกลางผู้นมัสการทั้งหลาย

The highest reward for man’s improvement is not what he gets for it; It’s what he becomes as a result of it.

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

บทความก่อนหน้านี้ตอนที่ 2 รักซึ่งกันและกัน รม15:1-6
บทความถัดไปเชื่อฟังและทำตาม สดด19:7-14

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่