.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี เทศนาบ่าย อาทิตย์ที่ 16 .. 2018

คริสตจักรไมตรีจิตอากาเป้ แบ๊บติสต์

 ยน8:12พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่าเราเป็นความสว่างของโลกคนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต

คำนำ

บางครั้งผมจำคำว่า กระดาษไม่ได้ เพราะอายุมากแล้ว มีคนกล่าวไว้ว่า

ความทรงจำชั่วคราว แต่ความชราถาวร

พระคัมภีร์เป็นคำพูดของพระเยซู ดูดีๆข้อความไม่มีอะไรที่ซับซ้อน แต่ถ้าเราเริ่มคิดพิจารณาจะมีความซับซ้อน คำว่าความสว่างที่พระเยซูตรัสกับคนกลุ่มหนึ่งเป็นคำพูดง่ายๆ ที่ไม่มีการอัศจรรย์น่าตื่นเต้น ไม่มีปาฎิหารย์น่าสนใจ แค่พูดเฉยๆ

ข้อ 30 เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์

นี่คือข้อสรุปจากการพูดครั้งนี้ของพระเยซู การที่มีคนจำนวนมากวางใจพระองค์

แสดงว่าพวกเขาต้องฟังอย่างตั้งใจ จริงใจ ใจเปิด เมื่อพวกเขาเข้าใจ พวกเขาจึงวางใจพระองค์

ข้อ31 พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่วางใจในพระองค์ว่าถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง

การที่พวกเขายึดมั่นในคำสอน พระเยซูบอกว่าพวกเขาเป็นสาวกของพระองค์ พวกเขาได้รับการรับรองจากพระเจ้าเพราะเขาตอบสนองคำสอนของพระเยซู พวกเขาวางใจพระเจ้า

เมื่อเราได้ฟังคำเทศน์วันนี้คาดหวังว่าพวกเราก็จะวางใจพระเยซู พระองค์จะสอนคุณต่อไปให้คุณเข้าใจพระคัมภีร์ ที่เป็นพระคำของพระเจ้า หากพวกเราเปิดใจรับคำสอนของพระองค์ ผมเป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้าในการมาเทศน์วันนี้เท่านั้น  ให้เรามาพิจารณาพระคำตอนนี้ด้วยกัน

1.พระเยซูเป็นความสว่างของโลกสำหรับทุกคน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็นแสงสว่างนี้  โลกในที่นี้หมายถึง คนที่อยู่ในโลก พระเยซูไม่ใช่มาเป็นความสว่างสำหรับโลกแบบทางกายภาพ แต่พระองค์เป็นความสว่างให้เฉพาะคนที่ตามพระองค์เท่านั้น จะได้ไม่ต้องติดตามความมืด เพราะคนที่ไม่ตามพระเยซูก็เดินตามความมืดโดยอัตโนมัติ

แต่ไม่ใช่ทุกๆคนที่จะได้เห็นความสว่างอัตโนมัติ

 

2.พระเยซูเป็นความสว่างเดียวของโลก

ถ้าโลกนี้ไม่มีพระเยซู โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ในความมืด โลกไม่มีทางเห็นความสว่างได้เลย เพราะพระเยซูเป็นความสว่างเดียวของคนในโลก คนที่ใจไม่เปิดกับพระเยซูจะบอกว่ามันเว่อร์เกินไปหรือเปล่า ไม่มีพระองค์อื่นเลยเหรอที่เป็นความสว่าง แต่หากเราใจเปิดเราจะรู้ว่าใช่ พระเยซูเป็นความสว่างเดียวของโลก

ไม่มีประวัติศาสตร์บอก ไม่มีปรัชญาบอก มนุษย์ไม่เคยบอกว่าพระองค์ไหนเป็นความสว่างของโลก  แต่บางครั้งพวกเขาก็ไปเจอความมืดมากกว่าความสว่าง ตอนแรกดูดีแต่ตอนหลังจะพบปัญหาตามมามากมาย ภาษาไทยเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า อวิชชา แปลความได้ว่า หลายคนที่เข้าใจว่าตนเองได้พบความสว่าง ได้พบความดีแล้วแต่แท้ที่จริงๆแล้วไม่ใช่ความสว่างจริงๆ

เราลองไปค้นหาดูก็ได้ว่า จากประสบการณ์ชีวิตของเราที่ผ่านมา หรือจากประวัติศาสตร์ หรือจากนักวิชาการ หรือจากนักปรัชญา มีใครพบเจอความสว่างแล้วบ้าง ไม่ว่าจะโลกมนุษย์ หรือโลกวิญญาณ ถ้าเขาเปิดใจเขาจะพบความจริงว่า พระเยซูเป็นความสว่างเดียวของโลก เพื่อให้เรามั่นใจว่ามีพระองค์เท่านั้นที่เป็นความสว่างเดียวแห่งชีวิต

 

ถ้าเราไปเจอความสว่างที่ไม่ใช่พระเยซู ระวังเราจะไปเจออวิชชา คือ ความมืด ในที่สุด

3.พระเยซูเป็นความสว่างของโลกนิรันดร

พระองค์ไม่ได้เพิ่งเป็นความสว่างของโลกตอนมาประสูติเป็นมนุษย์  พระองค์เป็นความสว่างตั้งแต่พระองค์ทรงเป็นอยู่แล้ว หมายความว่า ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมทั้งช่วงเวลาก่อนสร้างโลก พระองค์ก็เป็นความสว่างของโลกอยู่แล้ว พระองค์อยู่กับโลกตลอดมา และอยู่กับโลกตลอดไป 

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยืนยันได้ว่า พระองค์จะเป็นความสว่างของโลกในอนาคตด้วย พระเยซูเป็นความสว่างที่มนุษย์จะยอมรับเมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง และเป็นความสว่างทางกายภาพแทนดวงอาทิตย์ด้วยใน อนาคต

วว22:5 กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าจะทรงเป็นแสงสว่างของเขาทั้งหลายและเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์

พระเจ้าจะเป็นแสงสว่างตลอดไปเป็นนิตย์ ตามสติปัญญาของเราเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง เพราะโลกมันกลมจะมีด้านมืดเป็นเวลากลางคืน สลับกับความสว่างเป็นเวลากลางวัน

แต่ในวันที่พระองค์กลับมา โลกจะสว่างทั้งโลกเลย มีความสว่างทั้งในจิตใจของมนุษย์และดาวดวงนี้ด้วย

4.คนที่ตามพระเยซู(เรา) มาจะไม่ต้องเดินในความมืด

ความหมายของข้อนี้ ไม่ใช่หมายความว่า คนเดินตามหลังเพื่อจะรับแสงที่ส่องมาจากพระองค์เป็นการเดินตามแสง เพราะหลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนก็ยังเดินอยู่ในความมืดเลยแม้เชื่อพระเยซูแล้ว

การเดินตาม หมายถึง การที่เราให้พระลักษณะชีวิตของพระเยซูอย่างที่พระองค์เป็น ทั้งความคิด เหตุผล และอารมณ์ของพระองค์ มาอยู่ในชีวิตของเรา

การเดินตามชีวิตของพระองค์ที่เป็นความสว่างแก่เรา ทำให้วิถีชีวิตของเราเดินในความสว่างไม่เดินในความบาปอีกต่อไป

เวลาที่เราได้ยินพระดำรัสพระเจ้า พระองค์มีดำริอะไรกับเรา พระองค์ ให้เราพูด ให้เราทำอะไรเราจะรู้ หลายคนได้ยินพระดำริ ก็แค่เออๆ อืมๆ แต่ฟังแล้วก็ไม่ได้เอาไปทำอะไร

ตัวอย่าง เวลาที่ฝนตกแล้วสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ สามียังไม่รู้ว่าภรรยาต้องการอะไรเมื่อบอกว่าฝนตกแล้ว หลายคนเข้าใจเสียงที่ภรรยาพูดแต่ยังไม่ได้เข้าใจเสียงที่ยังไม่ได้พูด สามีภรรยาหลายคนเลยไม่เข้าใจกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง เนื้อหาได้รับแต่สาระไม่ได้รับ

เปรียบเหมือนคริสเตียนที่รู้พระดำรัสพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจพระดำริพระเจ้า ว่าพระองค์ต้องการสื่อสารกับเราเพื่อให้เราทำอะไร  ดังนั้นเมื่อพระเจ้าตรัส เราควรนั่งลงกับพระเจ้า เข้าให้ถึงพระดำริของพระองค์ ขอความเข้าใจจากพระองค์   วันนี้ขอให้เปิดใจออกเหมือนพวกสาวกเขาฟังพระเยซู พวกเขาเปิดใจ พวกเขาไว้วางใจพระองค์

 

5.ความสว่างของโลก กับความสว่างแห่งชีวิตมีความสัมพันธ์กัน

เราควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ มาดูว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันยังไง คำตอบอยู่ในพระคัมภีร์ ยน1:4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์

พระองค์เป็นแหล่งแห่งชีวิต ชีวิตเป็นความสว่าง ทั้งสองอย่างมีพระเยซูเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ถ้าไม่มีชีวิตที่มาจากพระเจ้ามนุษย์ก็ไม่มีชีวิต ไม่มีความสว่าง สำหรับมนุษย์ มนุษย์จึงต้องรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิต เพื่อมนุษย์จะได้มีชีวิต ไม่อย่างนั้นมนุษย์ไม่มีทางเจอความสว่าง พวกฟาริสีไม่วางใจพระองค์ทั้งๆที่พวกเขาอยู่ในที่เดียวกันกับพวกสาวก

คนที่ตามพระเยซูไปจะได้บางอย่างที่พระเยซูจะให้ แสงที่ส่องกับแสงที่ให้ไม่เหมือนกัน เพราะ

พระเยซูไม่ใช่ไฟฉายที่ส่องสว่าง แต่พระองค์เป็นชีวิต เป็นแหล่งแห่งชีวิต เป็นความสว่างในชีวิต ไม่ใช่ไฟส่องทาง

พระเยซูเป็นทั้งชีวิต และความสว่าง ดังนั้นคุณต้องได้พระเยซู เพราะพระเจ้าจะประทานพระเยซูให้กับเรา เพื่อให้เราทำอะไรบางอย่าง พระเจ้าจะใช้คริสตจักรให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อพระองค์

เราจะมีชีวิตก็ต่อเมื่อเราเปิดใจรับพระองค์เข้ามา พระองค์จะเป็นความสว่างแห่งชีวิต

6.คนที่ตามพระเยซู จะได้พระเยซู

การตามพระเยซูด้วยการเปิดใจ จริงใจกับพระองค์รับเอารูปแบบชีวิตของพระเยซูทั้งหมดไม่ใช่แค่บางส่วน หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เลือกเอาแต่ส่วนที่เป็นพระพร แต่ไม่รับเอาน้ำพระทัยพระเจ้า หรือแผนการที่กำหนดไว้สำหรับเรา การรับเอาทุกอย่างที่เป็นของพระองค์เข้ามาในเราทำให้เราเดินอยู่ในความสว่าง

ส่วนคนที่ไม่รับน้ำพระทัยพระเจ้าทุกอย่างพวกเขาก็ยังเดินอยู่ในความมืด เพราะเลือกตนเองเป็นศูนย์กลางไม่ใช่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

คนที่เดินในความสว่างจะเห็นคุณค่าพระเยซูในชีวิต ยอมรับส่ิงที่ใช่จากพระเยซูเข้ามาในชีวิตของเรา เพราะเราเห็นว่าใช่ ถูกต้อง ถ้าพระเยซูใช่พระอื่นก็ไม่ใช่ ถ้าพระอื่นใช่ ก็แสดงว่าคุณก็ยังมาไม่ถึงความสว่าง

น้ำพระทัยพระเจ้ากับพระคำของพระเจ้ามีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้า ใช่ เราจะเจริญรุ่งเรืองกว่าคนอื่น หลายสิบเท่า

มธ13:18-23 อุปมาผู้หว่านพืชแผ่นดินของพระเจ้า เป็นบรรยากาศการปกครองของพระเจ้า ที่พระองค์เป็นกษัตริย์ แต่คนสมัยนั้นไม่เข้าใจ พวกเขาไม่เห็นคุณค่า ไม่รับความกดดัน บางคนก็เข้าใจเห็นคุณค่าแต่ไม่ยอมหลุดจากประสบการณ์ที่ดีๆในอดีต เพราะส่ิงที่พระเจ้าจะให้เป็นเรื่องอนาคต ส่วนคนที่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเกิดผลร้อยเท่า เข้าใจเห็นคุณค่า เชื่อ วางใจพระองค์เกิดผล ชีวิตจะประสบความสำเร็จ

หากเราเดินตามพระเยซู ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ พระเยซูเป็นชีวิตเป็น ความสว่างในชีวิตของเรา พระองค์ไม่ใช่แค่ส่องแสงให้เราเดินตามแสง หากเรามีความเข้าใจเช่นนี้ ไม่มีอะไรเบรคเราในการติดตามความสว่างได้ เราจะไม่ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด เราจะเดินตามพระเจ้าด้วยความยินดี

7.พระเจ้า ต้องการให้พระเยซูเป็นความสว่างในชีวิตเรา

7.1 ทำให้เราเห็นความน่าเกลียดของความบาป

ทำให้เราจะไม่อยากไปยุ่งกับความบาป เพราะเราเห็นว่ามันไม่ดี บาปน่ารังเกียจ ไม่อยากกลับไปทำบาปอีกเลย

ตัวอย่าง .ประยูร ไปแคนนาดา คริสเตียนต่างชาติขอให้อาจารย์ทำอาหารไทยให้กินหน่อย เด็กๆชิมแล้วบอกว่าไม่อร่อยไปกินแมคแทน ผู้ใหญ่บอก yummy รักษามารยาท แต่เด็กบอก yaggi ไม่อร่อย

คนที่เดินในความมืด คือ เดินในความบาป การมีชู้เป็นการมีกิ๊ก ดูน่ารักมากแต่น่าเกลียด

7.2 ทำให้เราเห็นเห็นความงาม ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรมของพระเยซู

คนปัจจุบันมองว่าเรื่องศิลธรรมเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งๆที่แท้จริงแล้วหากคนในสังคมทำตาม ศิล5 ก็เพียงพอทำให้สังคมมีความสุขแล้ว  แท้จริงแล้วพระเยซูผู้เดียวเพียงพอสำหรับสังคมโลก ศิลธรรมดูจะน้อยไปเมื่อเทียบกับพระเยซูด้วย เพราะการที่พระเยซูเป็นความสว่าง พระเจ้าเป็นเรื่องความชอบธรรม เป็นเรื่องศิลธรรม ถ้าเรามีความสว่างพระเยซูเราจะเห็นความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม และความงามของพระเยซู

 

ดำเนินชีวิตเป็นลูกความสว่างได้อย่างไร

1ยน1:5-7  นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย 6ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง 7แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

1) มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ที่เป็นความสว่าง

มีคุณภาพที่ดีในความสัมพันธ์กับพระเยซู

ยน15:1-7 สรุปใจความได้ว่ามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเยซู

2) ดำเนินชีวิตในความสว่าง

อฟ5:9 (เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง)

พระคัมภีร์บอกว่าทุกอย่างที่เป็นความดี ทุกอย่างที่เป็นความชอบธรรม ทุกอย่างที่เป็นความจริง คือ ผลของความสว่าง

คริสเตียนมีแต่สีขาวไม่มีสีเทา จริงก็ว่าจริงไม่ก็ว่าไม่ คริสเตียนเรายกโทษให้อภัยกันได้  หากเราพบปัญหาชีวิตที่เป็นความบาปพระเจ้ามีทางออก เพราะว่าพระคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปเราโดยพระโลหิตของพระองค์เพื่อเรา พระองค์มีอำนาจมากพอสำหรับการแก้ปัญหาทุกชีวิตของคุณ

ยน1:5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้

พระคัมภีร์บอกว่าความสว่างมีชัยชนะเหนือความมืด ความบาป นี่คือพระสัญญาของพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะเหนือบาปให้ผู้เชื่อได้

 

3) สามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน (กับพี่น้อง)

อย่าไปรู้สึกหมั่นไส้ใคร ชื่อคริสตจักรอากาเป้ ความรักเป็นมงคล ขอให้รักทุกคน รักคนบาป พระเจ้าให้เปิดคริสตจักรเพื่อคนเลว ที่ต้องการรับการ พัฒนาชีวิตไปสู่ความสว่าง ไม่มีใครน่าเกลียดเกินกว่าที่พระเยซูจะไม่ตายเพื่อเขา 

 

การโกหกนี่เป็นความชั่ว แต่คนที่โกหกตัวเองนี่เป็นคนโง่

ให้เราร่วมใจอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้มารีย์หญิงที่พระเจ้าโปรดปราน
บทความถัดไปก้าวที่ 19 ชีวิตที่สร้างสาวกของพระเจ้า (1ธส2:7-16)

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่