หน้าแรก การศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว แนวทางศึกษาสดด119 ครั้งที่ 2 (จบ) แนวทางการศึกษาสดุดี 119

ครั้งที่ 2 (จบ) แนวทางการศึกษาสดุดี 119

1506
0

สอนครั้งที่ 2 กลุ่มเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

วันอาทิตย์ที่ 17 ..19 เวลา บ่ายสอง

ตอนที่ 3 แสงสว่างในวันแห่งความมืด สดด119:18

17ขอทรงดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์

เพื่อข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ และจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์

18ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็น

สิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์

19ข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวบนแผ่นดินโลก

ขออย่าทรงซ่อนพระบัญญัติของพระองค์จากข้าพระองค์

20จิตใจของข้าพระองค์กระตือรือร้นด้วยความปรารถนาใน

กฎหมายของพระองค์ตลอดเวลา

21พระองค์ทรงขนาบคนโอหัง คนที่ถูกสาป

ผู้หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์

22ขอทรงเอาการเยาะเย้ยและการหมิ่นประมาทไปจากข้าพระองค์

เพราะข้าพระองค์ได้รักษาพระโอวาทของพระองค์

23แม้พวกเจ้านายนั่งปรึกษากันต่อสู้ข้าพระองค์

แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์

24พระโอวาทของพระองค์เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์

เป็นที่ปรึกษาของข้าพระองค์

ข้อ 17 เขากำลังขอพระเจ้า เพื่อให้มีสุขภาพดี เพื่อปฎิบัติตาม พระวจนะของพระเจ้า เขายังไม่มีความสว่างแต่มีความตั้งใจ คำอธิษฐานของเขาไม่ใช่การตั้งเงื่อนไขกับพระเจ้า แต่เป็นการขอความเมตตาจากพระเจ้า  เขาไม่ใช่ขอสุขภาพที่ดีเพื่อเล่นเกมส์ แต่เขาขอเพราะยังไม่รู้ว่าจะปฎิบัติตามพระบัญญัติอย่างไร

ข้อ18 เขาขอให้เปิดตาเพื่อจะได้ปฎิบัติตามภายใต้สุขภาพที่ดี ที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า

ข้อ19 ตอบโจทย์ข้อ18 ขอเปิดตาให้เห็น เพราะพระเจ้ายังไม่ได้ตอบ ด้านหนึ่งที่ไม่เห็นคือ เขาอาจจะด้อยความสามารถ หรือมองไม่เห็น หรือมองเห็นแต่ไม่เข้าใจ เขาจึงขอพระเจ้าอย่าซ่อนพระบัญญัติ

ข้อ 20 เขายังมืดอยู่ เสริมข้อ 17 เขาปรารถนาที่จะปฎิบัติตามพระบัญญัติ แต่เขาไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่เข้าใจ

ข้อ 21 คนโอหังในที่นี้หมายถึงตัวเขาเอง ความโอหังอยู่ในชีวิตของเขาเอง

ข้อ 22 ขอเอาคำเยาะเย้ยไปจากเขาเพราะเขารักษาพระบัญญัติพระองค์

ข้อ 23 ขอพระเจ้า โปรดเปิดตา เพื่อจะเห็นให้ข้าพระองค์ไปถึงความสว่างจาก ความมืดที่เป็นอยู่ณ.ตอนนี้

เรามาดูการประยุกต์ใช้ต้องไม่หนีบริบท จะเป็นประโยชน์มากถ้าประยุกต์ใช้ได้ การประยุกต์คือ การเอาพระดำริออกจากพระดำรัสให้ได้

1.เราเรียนรู้ความจริงของพระเจ้า จากการสำแดงของพระเจ้าเท่านั้น

ถามว่าโรงเรียนพระคัมภีร์สอนให้เราอ่านพระคัมภีร์  ดีกว่าการอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเองอยู่ในบ้านหรือไม่  คำตอบคือไม่ เพราะความเข้าใจพระคัมภีร์ มาจากการสำแดงของพระเจ้า ไม่ได้มาจากการอธิบายของครู หรือคู่มือ หรือเครื่องมือศึกษาพระคัมภีร์

พระดำรัสของพระเจ้าที่บันทึกไว้ เพื่ออยากให้เราได้รู้พระดำริของพระเจ้า

เช่น แฟนบอกว่าหิวน้ำจัง เป็นพระดำรัส แต่ให้เราทำอะไร คือ พระดำริ

พระดำริมาจากการสำแดงของพระเจ้า เพื่อให้เราไปทำอะไร หนึ่งดำรัสมีหลายดำริได้ เช่น ฝนตกแล้ว ภรรยากับลูกอาจจะไปทำแตกต่างกัน ถ้าเราเข้าใจผู้พูดดีเราจะรู้ว่าเราต้องทำอะไร ในสถานการณ์นั้น เวลานั้น

พระเจ้าสำแดงผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ มธ11:25-26 ในขณะนั้นพระเยซูทูลว่าข้าแต่พระบิดา ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก 26ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น

คนเก่งคิดว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะเข้าใจเองได้ คนไม่เก่งไม่ค่อยถ่อมใจกับพระเจ้า พระองค์จะสำแดงให้คนถ่อมได้รู้พระดำริพระเจ้า นี่เป็นความอัศจรรย์ยิ่งนัก

2. พระบัญญัติมีพระดำริมากกว่าที่เราเห็นเป็นตัวอักษร

ข้อ 18 บางสิ่งบางอย่างผู้เขียนไม่เห็น ทั้งที่เนื้อหาอยู่ตรงหน้า สรุปเป็นอย่าง อื่นไม่ได้ เช่น เวลาที่เรามองไมโครโฟนมันก็เป็นไมโครโฟนอยู่นั่นเอง

แต่พระบัญญัติไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีมากกว่าที่เราเห็น เราต้องขอให้พระเจ้าช่วยให้เราเห็น ช่วยให้เราเข้าใจ แต่ถ้าเราพอใจแล้วเราก็จะไม่เห็นอะไรเพิ่ม

ตัวอย่างเช่น ยน3:16 อ่านแล้วเข้าใจว่า พระเจ้าให้เราไปทำอะไร พระเจ้ารักโลก แล้วยังไง ถ้าเราสังเกตคำว่าเพราะว่าพระเจ้าเราจึงทำ ดังนั้น เราจึงรู้ว่า พระเจ้าให้เราไปทำอะไรทุกอย่าง เพราะพระเจ้า ๆๆๆ แค่คำนี้เพราะว่าพระเจ้า ทำให้ปัญหาชีวิตของเราหมดไปเยอะ

การอ่านพระคัมภีร์ ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือ พระดำริพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราทำอะไร หนึ่งพระดำรัส อาจมีหลายพระดำริ แตกต่างกันได้ ตามวาระ ตามสถานที่ ตามแต่ละบุคคล หรือตามแต่ละสถานการณ์

3. เรียนรู้พระดำริให้ถูกต้องเพื่อจะปฎิบัติตาม ข้อ17

บางคนมาเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการความมั่งคั่ง หรือมั่งมี หรืออยากได้รับการอวยพร อยากได้พระพร ถ้ามาเป็นคริสเตียน แล้วยังมีฐานะยากจน ยากลำบาก แสดงว่า ดำเนินชีวิตตกจากมารตรฐานของพระเจ้า

ความจริงพระเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้ เพราะเป็นความจริงไม่ครบถ้วน เห็นแต่เรื่องวัตถุอย่างเดียวไม่ได้มองด้านฝ่ายวิญญาณ

ยก2:14-17พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ15ถ้าพี่น้องชายหญิงคนไหนขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16แล้วมีใครในพวกท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่าขอให้กลับไปอย่างเป็นสุข ให้อบอุ่น และอิ่มหนำสำราญเถิดแต่ไม่ได้ให้สิ่งจำเป็นฝ่ายกายแก่พวกเขา จะมีประโยชน์อะไร17ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว

ความเชื่อที่ไม่ปฎิบัติก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว การรู้จักพระเจ้า หรือการศึกษาพระคัมภีร์ไม่ใช่แค่รู้เป็นทฤษฎี มีดร.เก่งด้านทฤษฎีรู้เรื่องพระเจ้ามากๆ รู้เรื่องพระคัมภีร์มาก แต่ประกาศไม่เป็น รับใช้ไม่เป็นก็มี

การเป็นเกลือแสงสว่างเป็นเรื่องการดำเนินชีวิต เป็นวิถีชีวิตที่ชอบธรรม

ถ้าเราดูใน มธ6:22-23 เปรียบเทียบกับ ยน9:31เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์

และ สดด119:18

ถามว่าคุณตาดีหรือตาบอด พระเยซูพูดความบอดฝ่ายวิญญาณ แสดงว่าเขามองไม่เห็นพระเจ้า หลายครั้งเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ทั้งที่เราตาดีแต่เราไม่เข้าใจ เรามองไม่เห็น ขออย่าให้เราเป็นคนตาบอด ขอให้เปิดใจออก

เวลาอ่านพระคัมภีร์เราไม่ได้ใช้การตีความตามระบบ กติกาที่โรงเรียนพระคัมภีร์สอนมาอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์เคลื่อนไหวสำแดงอยู่ในเราด้วย เพื่อสอนให้เราเข้าใจ

พระเจ้าสำแดงผ่านจิตใจที่ถ่อมลง ไม่ใช่สำแดงผ่านวิทยาการ หรือวิธีการศึกษาพระคัมภีร์ คริสเตียนกำลังถูกพาออกนอกประเด็น ทำให้รู้แต่เนื้อหาแต่ไม่ได้สาระหรือแก่นของพระคัมภีร์

โลกทุกวันนี้ข้อมูลเยอะ บันเทิงเยอะ แต่สาระน้อย บางคนจึงศึกษาแต่เนื้อหาพระคัมภีร์ แต่ไม่ได้สาระจากพระคัมภีร์

สดด119 ที่เราศึกษา เป็นตัวอย่างเพื่อให้เราเข้าใจสาระของพระคัมภีร์ ทั้งเล่ม ความมหัศจรรย์ของพระคัมภีร์ของพระองค์ มีสองระดับ คือ

ความมหัศจรรย์บนพื้นฐานกับส่ิงที่เกิดขึ้นกับพระคัมภีร์ของพระเจ้า ใช้เวลาในการเขียน1600 ปี ในการเขียนมีสี่สิบคนเขียน เรื่องราวเนื้อหาแตกต่างกันมาก มาย รูปแบบการเขียนเป็นวรรณกรรมที่มีการเขียนแตกต่างกันไป แต่ไม่มีความขัดแย้งกันในสาระ เพราะพระเจ้าเป็นผู้เดียวที่ควบคุมการประพันธ์พระคัมภีร์

ความมหัศจรรย์อีกด้านหนึ่งเกิดขึ้นกับประสบการณ์มาสู่ชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนตาย 1ปต1:23ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย คือจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่ 

ผู้เชื่อเกิดจากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเห็นและเข้าใจส่ิงที่พระเจ้าสำแดง เราต้องเกิดใหม่จากพระวจนะ จึงทำให้เราเข้าใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเรา ถามว่าสาวกรู้เรื่องพระเจ้าได้ยัง ทั้งๆที่เปโตรเป็นคนขี้ขลาด แต่เขารู้ได้ไง คำตอบคือ พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เขาเข้าใจ

ฮบ4:12เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

พลานุภาพของพระวจนะ เป็นเรื่องของสาระพระคัมภีร์  ไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นตัวอักษร 

พระวจนะสามารถวินิจฉัย แก้ไขชีวิต ไม่ใช่ศิลธรรมที่แก้ไข คนไม่เป็นคริสเตียนจะไม่สามารถเข้าไม่ถึงความจริงของพระวจนะได้ คนที่เป็นคริสเตียนบางคนก็อาจเข้าไม่ถึงเพราะไม่เอาจริงเอาจัง  ทั้งๆที่เกิดจากพระวจนะ

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยพระวาทะ ยอห์น บอกว่าพระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ยน15:5 เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 

ถ้าแยกจากเราท่านจะทำส่ิงใดไม่ได้เลย แยกจากพวจนะแล้วท่านจะทำส่ิงใดไม่ได้เลย แปลว่า ถ้าชีวิตคริสเตียน ไม่มีพระคำที่เป็นชีวิต มีแต่ความรู้ในสมอง จะไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในชีวิตเรา 

1ยน2:14 ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน

เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา

ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน

เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล

ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน

เพราะพวกท่านมีกำลังมาก

และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในพวกท่าน

และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว

ตั้งแต่พระเจ้า สร้างโลกไม่มีใครเอาชนะมารร้ายได้ ยกเว้นมนุษย์ผู้เดียวที่ชนะได้ คือ พระเยซู แต่พระธรรมตอนนี้บอกว่า คริสเตียนกลุ่มหนึ่งสามารถเอาชนะมารร้ายได้ เพราะพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่กับท่าน พระวจนะเป็นจริงในชีวิตของพวกเขา

อฟ6:11จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของ มารได้ 

ยก4: 7 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป

ให้เราต่อสู้แล้วมารจะหนี  

ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

บทความก่อนหน้านี้ครั้งที่ 1 แนวทางศึกษาพระธรรมสดุดี119
บทความถัดไปยืนหยัดเพื่อพระคริสต์    2คร:1-11

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่