อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์
เทศนาอาทิตย์ที่ 3 พ.ย. 2019
คริสตจักรชีวิตรุ่งเรือง (GLC)
พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริงตอนที่ 3 อสค34:25-31
1.พระเจ้าทรงทำพันธสัญญา (25)
2.พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อรับพันธสัญญา (30-31)
25“เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขาและกำจัดสัตว์ร้ายเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้อย่างปลอดภัย และนอนอยู่ในป่าได้ 26เราจะทำให้พวกเขากับสถานที่รอบๆ เนินเขาของเราเป็นแหล่งพร เราจะส่งฝนลงมาตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพร 27ต้นไม้ในทุ่งจะเกิดผล และพื้นดินจะเกิดผลผลิต พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา ทั้งจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์เมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้กักเขาให้เป็นทาส
28พวกเขาจะไม่เป็นของริบของบรรดาประชาชาติอีกต่อไป และสัตว์ป่าบนดินก็จะไม่กัดกินเขาทั้งหลาย และพวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว29และเราจะจัดหาที่เพาะปลูกอันลือชื่อแก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินอีกต่อไป ไม่ต้องทนรับความอับอายจากบรรดาประชาชาติ
30แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เรา ยาห์เวห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล เป็นประชากรของเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 31เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในทุ่งหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นคนของเรา และเราเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
พระธรรมเอเสเคียล34 ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ช่วงยูดาห์ อิสราเอลฝ่ายใต้เมืองหลวงอยู่ที่เยรูซาเล็ม ถูกนำไปเป็นเชลยที่บาบิโลน พระวิหารถูกทำลาย
อสค33:21และอยู่มาเมื่อวันที่ 5 เดือนที่ 10 ในปีที่ 12 ซึ่งเราได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย คนหนึ่งที่หนีมาจากกรุงเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้า กล่าวว่า “เมืองนั้นแตกเสียแล้ว” อยู่ในเวลาช่วงเดียวกันกับเหตุการณ์ใน
2พกษ25:1-4 และอยู่มาเมื่อวันที่ 10 เดือน 10 ปีที่ 9 แห่งรัชกาลของเศเดคียาห์ (king 21th)เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงยกทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้และเขาทั้งหลายได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ 2กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่ 11 แห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ 3เมื่อถึงวันที่ 9 ของเดือนที่ 4 เกิดการกันดารอาหารรุนแรงในกรุงนั้น ไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน
4แล้วกรุงนั้นก็แตก ทหารทั้งสิ้นหนีออกไปในเวลากลางคืนตามทางประตูเมือง ระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมพระราชอุทยาน (ทั้งๆ ที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง) และพระราชาก็เสด็จตามทางไปลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
สถานการณ์ของยูดาห์ในเวลานั้นคือ การสิ้นชาติ เจอความทุกข์ยากลำบากต้องไปเป็นเชลย ครอบครัวพลัดพราก ความมั่นคงไม่มี อนาคตไม่มี ศักดิ์ศรีไม่มี พวกเขาเป็นประชากรของพระเจ้า แต่การที่พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริงให้ความหวังกับเราในการกลับมาหาพระเจ้า
จากตอนที่แล้วเราได้เห็นถึง ความเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า คือ พระองค์จะตั้งผู้เลี้ยงให้ดูแลคนของพระเจ้า และพระเจ้ามีการพิพากษาอย่างยุติธรรม ก่อนหน้านั้นเราเห็นความเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้าผ่านการรื้อฟื้น การช่วยให้รอด และการเลี้ยงดู
วันนี้ให้เรามาศึกษาพระธรรม อสค34:25-31 ด้วยกันหัวข้อคำเทศนาในวันนี้ คือ พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริง ตอนที่ 3
1.พระเจ้าทรงทำพันธสัญญา (25)
25“เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขาและกำจัดสัตว์ร้ายเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้อย่างปลอดภัย และนอนอยู่ในป่าได้
การทำพันธสัญญาของพระเจ้า เป็นเหมือนการให้คำสัญญาที่จะให้คนอิสราเอล หรือคนของพระเจ้า มีสวัสดิภาพชีวิตที่ดี มีคำว่า “ปลอดภัย” หลายครั้ง
ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายในข้อ 25
ปลอดภัยจากการกันดารอาหาร ข้อ 27
27ต้นไม้ในทุ่งจะเกิดผล และพื้นดินจะเกิดผลผลิต พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา ทั้งจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์เมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้กักเขาให้เป็นทาส
ปลอดภัยจากดาบ จากศัตรู มีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพ เป็นไท ไม่เป็นทาส ข้อ28 28พวกเขาจะไม่เป็นของริบของบรรดาประชาชาติอีกต่อไป และสัตว์ป่าบนดินก็จะไม่กัดกินเขาทั้งหลาย และพวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว
สรุป สิ่งที่อิสราเอลจะได้รับในข้อ 29 และเราจะจัดหาที่เพาะปลูกอันลือชื่อแก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินอีกต่อไป ไม่ต้องทนรับความอับอายจากบรรดาประชาชาติ
ความหมายรวมพระเจ้าทรงทำพันธสัญญาคือ พระเจ้าจะไม่ลงโทษพวกเขา หรือพิพากษาเขาเหมือน สถาการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่จะให้เขามีสวัสดิภาพ มีความปลอดภัยในชีวิต
พระเจ้าเป็นคนริเริ่มทำพันธสัญญาไม่ขึ้นอยู่กับความดี ความสามารถของเรา ว่าจะมีความเหมาะสมมากพอที่จะรับพันธสัญญาหรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้ายังคงรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเราเสมอ แต่เราเองต่างหากที่จะเป็นคนรับผลร้ายเมื่อเราหักพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา
โมเสสได้บันทึกเฉลยธรรมบัญญัติเพื่อเตือนอิสราเอลให้รักษาพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับพวกเขา ฉธบ4:20,29-31,35
20แต่พระยาห์เวห์ทรงเลือกท่านทั้งหลายและทรงนำท่านออกมาจากเตาเหล็กคือจากอียิปต์ ให้เป็นประชากรในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
29แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ ท่านจะพบพระองค์30เมื่อท่านมีความทุกข์ลำบาก และทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน ในกาลภายหน้า ท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์31เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งท่านหรือทำลายท่านหรือลืมพันธสัญญา ซึ่งทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของท่านโดยการปฏิญาณ
35ที่ได้ทรงสำแดงแก่ท่านนั้นก็เพื่อท่านจะทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย
ฉธบ5:2-3,33 2พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงทำพันธสัญญากับเราที่
โฮเรบ3ไม่ใช่พระยาห์เวห์จะทรงทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเราเท่านั้น แต่ทรงทำกับเราคือเราทุกคนผู้มีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้ 33 จงดำเนินตามวิถีทางทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และท่านจะมีชีวิตยืนนานอยู่ในแผ่นดินซึ่งท่านจะยึดครองนั้น
พระเจ้าย้ำเรื่องพันธสัญญาว่าพวกเขาต้องรักษาเพื่อพวกเขาจะปลอดภัย
ฉธบ7:9-11 ฉะนั้นจงทราบเถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าซื่อสัตย์ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ต่อบรรดาผู้ที่รัก พระองค์และรักษาบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน 10และทรงตอบแทนผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อตัวเขาเอง โดยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบแทนต่อตัวเขาเอง 11ดังนั้นพวกท่านจงระวังที่จะทำตามบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้
2.พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อเป็นผู้รับพันธสัญญา(30-31)