อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์
เทศนาอาทิตย์ที่ 12ม.ค.2020
คริสตจักรพลับพลา(สมุทรปราการ)
เกิดโดย(เชื่อ)พระคริสต์ ชีวิตโดยพระคำ 1ยน5:1-3
1. เกิดโดยพระคริสต์ (1)
2. ชีวิตโดยพระคำ (2-3)
คำนำ
1คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็เกิดจากพระเจ้า และคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย 2โดยข้อนี้ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า คือเมื่อเรารักพระเจ้า และประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ 3เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป
วัตถุประสงค์ของการเขียนจดหมายฝากฉบับนี้ อัครสาวกยอห์นเขียนถึงผู้เชื่อที่กำลังประสบ กับปัญหาครูสอนผิดที่กำลังแพร่คำสอนเทียมเท็จเข้ามาในคริสตจักรโดยมีวัตถุประสงค์ในการเขียน 2 ประการคือ
(1) เพื่อหนุนใจผู้เชื่อให้มี ชีวิตอยู่ในสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของ พระองค์ (1:3) และ
(2) เพื่อเตือนพวกเขาไม่ให้หลงไปตามคำสอนเท็จที่ จะทำลายสามัคคีธรรมกับพระเจ้า (2:18; 24, 4:1-3)

พระธรรม 1 ยอห์นมีเนื้อหาพูดถึงชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงจะมี สามัคคีธรรมกับพระเจ้าและแสดงให้เห็นโดยการประพฤติตามคำสั่ง ของพระเจ้าด้วยความรักและโดยมีหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องบนความจริง เรื่องพระเยซูคริสต์ เนื้อหาเหล่านี้ดูเหมือนพูดซ้ำวนไปมาแต่ก็แสดงถึงความสอดคล้องและเกี่ยวเนื่องกันโดยตลอด
ใจความสำคัญอยู่ที่การย้ำผู้เชื่อให้มีความมั่นใจในความรอดโดยการมีสามัคคีธรรมอย่างถูกต้องกับพระเจ้าและดำรงชีวิตในพระเยซูคริสต์ และกุญแจสำคัญ แห่งความรัก คือ หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูที่เป็น “ความเชื่อที่มีชัย เหนือโลก” (5:1-5) แต่เราจะเทศน์แค่ข้อ 1-3 หัวข้อคำเทศนาคือ “เกิดโดย(เชื่อ)พระคริสต์ชีวิตโดยพระคำ”
1.เกิดโดย(เชื่อ)พระคริสต์ (1)
ข้อ 1 คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็เกิดจากพระเจ้า และคน ที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย
“คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็เกิดจากพระเจ้า..” คำว่า “เกิด” ภาษากรีกมาจากคำว่า “γεννάω” หมายถึง ทำให้เกิดมา อุ้มท้อง คลอด เกิดมา นำไปถึง ก่อให้เกิดขึ้น คำว่า “เกิดจากพระเจ้า” ในข้อ 1ก ภาษากรีกใช้คำว่า “γεγέννηται” อยู่ในรูป สมบูรณ์กาล ประธานเป็นเอกพจน์บุคคลที่ 3 และเป็นผู้ถูกกระทำ (Perfect Passive Indicative) ให้ความหมายว่า ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ได้ถูกทำให้บังเกิดจากพระเจ้าซึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้วและส่งผลสืบเนื่องมา ถึงปัจจุบันด้วย
พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ทำให้เขาบังเกิดใหม่ ในฝ่ายวิญญาณกลับมาเชื่อฟังและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า
(1ยอห์น 3:9 ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้นและเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า)
พระวิญญาณเป็นผู้ทำงานในใจให้เกิดการสำนึกบาปและ กลับใจใหม่สารภาพบาปต่อพระองค์
(1ยอห์น 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น)
ใน 1ยอห์น 2:29 ว่า “..ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรม นั้นเกิดมาจากพระองค์ด้วย” คือเกิดจากพระเจ้าเพราะมีความเชื่อที่ถูกต้อง
เชื่อในพระเยซู พระเจ้าประทานสิทธิให้เป็นลูก ซึ่งเกิดจากพระเจ้า
(ยอห์น 1:12-13 แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า
13ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า)
การเกิดอย่างนี้แตกต่างจากการถือกำเนิดจาก ท้องแม่ตามธรรมชาติเพราะพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้บังเกิดใหม่จากพระ วิญญาณโดยเกิดขึ้นร่วมกันกับความเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ (Colin G. Kruse. The Letters of John. 1st Edition. Michigan: Grand Rapids (Wm. B. Eerdmans Publishing Co.), 2000.)

พระเยซูคริสต์ได้คุยกับนิโคเดมัสเรื่องการบังเกิดใหม่ หมายถึงการเชื่อในพระเยซูนั่นเอง แต่ณ.เวลานั้น นิโคเดมัสยังไม่เข้าใจ
ยน3:3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า” 6ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ
บังเกิดใหม่โดยพระวจนะ
1ปต1:3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยพระเมตตาล้นเหลือของพระองค์ ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังที่ยั่งยืน โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ 23ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย คือจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่
พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นเพื่อให้เราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นหลักฐานทางเอกสารอย่างชัดเจนที่ผลในชีวิตของผู้คน
ยน20:30-31พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 31แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
2.ชีวิตโดยพระคำ (2-3)
2โดยข้อนี้ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า คือเมื่อเรารักพระเจ้า และประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ 3เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป
คำว่า “ประพฤติตาม” (2ข) ภาษากรีกมาจากคำว่า “ποιέω” หมายถึง ทำ ทำให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดขึ้น ทำให้สำเร็จ ปฏิบัติ จัดหา ให้ ในตอนนี้ใช้ในความหมายว่า ประพฤติตาม
ในข้อ 3ก บอกว่าการประพฤติตามพระบัญญัติเป็นการ แสดงออกถึงความรักที่มีคนนั้นมีต่อพระเจ้าและอยู่ในสามัคคีธรรมกับพระองค์ (1ยอห์น 2:5) ดังที่พระเยซูทรงเห็นว่าการประพฤติตามพระบัญญัติของเจ้าเป็นการติดสนิทอยู่ในความรักของพระองค์
ยอห์น 15:10 ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์

คำว่า “พระบัญญัติ” (2ข) ภาษากรีกมาจากคำว่า “ἐντολή” หมายถึง บัญญัติ คำบัญชา คำสั่ง คำแนะนำ ในมัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงยกพระบัญญัติสองข้อที่สำคัญที่สุดคือ “..จงรักองค์พระผู้ เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่านและด้วยสุดความ คิดของท่าน”และ“จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
ยน14:15“ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา 16เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป21ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” 23พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา
24คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
คำถามคือ ถ้าผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ไม่รู้พระคำ แล้วพวกเขาจะดำเนินชีวิตติดสนิทกับพระเจ้าได้อย่างไร?
พระเยซูคริสต์พยายามอธิบายให้สาวกสองคนระหว่างเดินทางไปเอมมาอูส
ลก24:47แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด
คำว่า “อธิบาย” GK1329:diermeneuo หมายถึง การอธิบาย , ตีความโดยการแปลภาษา (สมัยนั้นOT บันทึกเป็นภาษาฮีบรู และแอราเมอิค)
พระเยซูคริสต์ใช้เวลาในการอธิบายคำสอนเพื่อให้สาวกเข้าใจ
มก4:34 นอกจากอุปมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกับพวกเขาอีก แต่เมื่ออยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกสาวก
พระเยซูคริสต์บอกว่าพวกยิวแสวงหาชีวิตนิรันดร์ไม่ถูกต้อง
ยน5:38และท่านไม่มีพระดำรัสของพระองค์อยู่ในตัวท่าน เพราะว่าพวกท่านไม่ได้วางใจผู้ที่พระบิดาทรงใช้มานั้น 39พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา
พระเยซูคริสต์อธิบายพระคัมภีร์ให้สาวกหลังจากเป็นขึ้นจากความตาย
ลก24:44-45 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
พระเยซูคริสต์อธิบายว่าทำไมต้องสอนเป็นคำอุปมา
มธ13:11,13,23 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
13เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ 23ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
สาวกมีความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์สอน อธิบายพระคัมภีร์
ยน2:22 เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้ และพวกเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูตรัสนั้น
อปอลโลสามารถใช้พระคัมภีร์โต้แย้งกับพวกยิวได้
กจ18:28 เพราะท่าน (อปอลโล)โต้แย้งกับพวกยิวอย่างแข็งขันต่อหน้าคนทั้งปวง และอ้างพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์



