.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี                   

อา 4 .. 18              

คริสตจักรใต้ร่มพระคุณรามคำแหง16

สดด.๓๔:๑๐

เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆ

คำนำ

ตื่นหรือยังครับ วันนี้มีความชื่นชมยินดีไหม เราเข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยใจชื่นชมยินดีไหม มีคนเป็นจำนวนมากหิวกระหายพระเจ้า แต่พวกเขาไม่มั่นใจว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้หรือไม่ ก่อนหน้าที่จะเชื่อพระเจ้านั้นพวกเขามีสิทธิ์นมัสการ ด้วยการซื้อการนมัสการราคาเท่าไหร่ กระแสของการบนอะไรไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราต้องจ่ายอะไร จ่ายเท่าไหร่ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเรา สิ่งศักด์สิทธิ์แต่ละองค์ไม่เหมือนกันบางองค์ต้องการมะพร้าว บางองค์ต้องการหัวหมู

แต่พระเยซูชำระความบาปผิดของเราเพื่อให้เราสามารถนมัสการพระเจ้า ได้ด้วยความเมตตาของพระองค์  แค่นี้สำหรับเราก็เพียงพอแล้วที่จะนมัสการพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้าทำเพื่อเรา เราดีใจไหมที่ได้รับสิทธิ์ในการนมัสการพระเจ้า  หากมนุษย์ไม่ได้นมัสการพระเจ้า ชีวิตของเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพระเจ้าเป็นหัวใจในชีวิตของมนุษย์

พระธรรมตอนนี้เปรีบเทียบให้เราเห็นถึงชีวิตของคนที่แสวงหา เพื่อกระตุ้นให้เรามีใจแสวงหาพระเจ้า โดยเปรียบเทียบกับสิงห์หนุ่ม

สิงห์เป็นสัตว์ที่ล่าสัตว์ มันมีความเชี่ยวชาญ เป็นพราน เป็นสิงห์หนุ่มมีกำลังวังชาแข็งแรง ล่าได้ไม่พลาด มันจะไม่ขาดแคลน

แต่พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่ามันก็มีวันขาดแคลน ต่อให้เก่ง ให้เชี่ยวชาญ ก็สามารถขาดแคลนได้ ก็มีความจำกัดเพราะพึ่งพาตนเอง พึ่งพากำลังตนเอง แต่คนที่แสวงหาพระเจ้าไม่ต้องเป็นนักล่า หรือแข็งแรง หรือเก่ง หรือชำนาญ เพื่อจะล่าขุมทรัพย์ มันไม่ได้ช่วยชีวิตเราได้ คนรวยก็ตายได้ ให้เราได้บทเรียนจากข่าวที่คนรวยตกเฮลิคอปเตอร์ตาย  ผู้ที่แสวงหาแปลความว่า สัจธรรมชีวิตมนุษย์ คือ การแสวงหา

พระวจนะของพระเจ้า ข้อนี้ชี้ให้เราเห็นสัจจะธรรมของชีวิต ประการด้วยกันคือ

1.การแสวงหาเป็นเรื่องปกติของคนเรา  เพราะชีวิตของคนต้องการปัจจัยที่จะใช้ในการยังชีพไม่บาป แต่คำถามคือ เราแสวงหาอะไร วิธีอะไร ชีวิตต้องการปัจจัย เพื่อยังชีพ จงแสวงหาต่อไป

2.ในการแสวงหา เราแต่ละคนล้วนแต่ปรารถนาที่จะได้สิ่งที่ดีๆท่ามกลางความสับสนที่เกิดจากค่านิยมของสังคม ทำให้คริสเตียนเราแยกไม่ถูกว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หรือสิ่งไหนดีจริง และสิ่งไหนดีไม่จริง

สำหรับมนุษย์มีความปรารถนาที่จะได้ส่ิงที่ดีๆ ค่านิยมของสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เราไม่มั่นใจว่า การแสวงหาพระเจ้าดีหรือไม่ เช่น สังคมกำหนดว่าเงินมีค่า เราก็งกเงิน หาเงิน แสดงตัวตนจริงๆผ่านเงิน แต่พระคัมภีร์บอกว่าการรักเงินเป็นมูลรากความชั่วทั้งปวง เราก็อาจจะมีความสับสนได้

แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้โลกกำหนดค่านิมยมของเรา ไม่ตรงกับพระคัมภีร์

3.การแสวงหาพระเจ้า เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าสิ่งดีๆใดๆทั้งสิ้น  เพราะถ้าเราแสวงหาสิ่งดีอื่นๆที่ไม่ใช่พระเจ้า เราต้องแสวงหา ทีละอย่าง แต่พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้บอกกับเราว่า ถ้าเราแสวงหาพระเจ้า เราจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดๆ

 

แสวงหาส่ิงที่ดี กับแสวงหาพระเจ้า มีความแตกต่างกัน

หากเรามุ่งแสวงหาพระเจ้าเราจะไม่ขาดส่ิงดีใดๆเลย แน่นอนเราต้องการปัจจัยสิ่งดีใดๆๆ หลายๆส่ิงดีที่เราต้องพึ่งพาการยังชีพ

แต่ถ้าเรามุ่งหาแต่สิ่งดีๆ เราจะเหนื่อย

เพราะเราต้องไปหาสิ่งหนึ่ง ๆๆๆๆๆๆๆ แต่ถ้าคุณแสวงหาพระเจ้า คุณจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆเลย

เราใช้เวลากับสิ่งดีๆๆๆๆๆๆ ทำไมไม่หยุดก่อนแล้วศึกษาพระคัมภีร์ แล้วแสวงหาพระเจ้า เราได้พระเจ้า เราจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆเลย

ตรวจสอบดูได้ว่า เราฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่าคือ ไปทำได้ไหม หรือเราเข้าใจแต่เราไม่เชื่อ ในห้องประชุมนี้ขอสักคนเดียวที่ทำตามพระคำของพระเจ้า  แล้วอาทิตย์นี้ขอให้มาเป็นพยานดูว่าผลเป็นอย่างไร

ถ้าคุณแสวงหาพระเจ้า แทนที่จะแสวงหาส่ิงดีๆ จากการใช้เวลาเหล่านั้น จนคุณพบพระเจ้า คุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณแสวงหาดีหรือไม่ดี

แต่พระเจ้าจะให้ส่ิงที่ดีกว่าที่คุณแสวงหา

บ้านเราถูกขับเคลื่อนด้วยฐานะทางการเงิน สิ่งดีๆบางครั้งต้องจ่ายราคาแพง คนเลยพยายามหาเงินเพื่อจะจ่ายได้ แต่สิ่งดีๆที่พระเจ้าให้เราเป็นสิ่งดียอดเยี่ยม ลองไปทำดูแสวงหาพระเจ้า พระเจ้าไม่โกหก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เรามาพิจารณาว่า พระคัมภีร์สอนอะไรเราเกี่ยวกับการ แสวงหาพระเจ้ากัน เกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาพระเจ้านั้น เป็นเรื่องยาก มากๆ เพราะเรื่องนี้ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า ว่าพระองค์จะยินดีสำแดงพระองค์ให้แก่เราหรือไม่ การแสวงหาพระเจ้าไม่เหมือนการหาสมุนไพรยังชีพ เพื่อทำยา หรือการยิงนกตกปลา  เพราะส่ิงเหล่านั้นมีให้หาอยู่แล้ว มันไม่สามารถหลบได้ เพราะถ้าเราเรียนรู้ธรรมชาติเราจะหาได้

แต่การแสวงหาพระเจ้า

ถ้าพระองค์ไม่เปิดเผยคุณไม่มีสิทธิ์รู้

และ อีกด้านหนึ่งการแสวงหาพระเจ้าก็ไม่ยาก เพราะพระเจ้าปรารถนาจะให้เราพบอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับเรา ว่าเราจะมีความมุ่งมั่นในการแสวงหาหน้าของพระเจ้าอย่างจริงจังแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา มุ่งมั่นในการแสวงหาพระเจ้าจริงจังมากน้อยขนาดไหน

การแสวงหาพระเจ้า ในพระคัมภีร์ บางครั้งใช้คำว่า แสวงหาหน้า แสวงหาพระพักตร์ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ เช่น 2พศด7:14 คำนี้แปลว่าแสวงหาพระเจ้า

ยรม.๒๙:๑๓๑๔ กล่าวว่า . . .

13เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วย สิ้นสุดใจของเจ้า 14พระเจ้าตรัสว่า   เราจะให้เจ้าพบเรา   และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจาก บรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น   พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ   และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเรา เนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น   

ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ บอกกับเราว่า ให้เราแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจซึ่งหมายถึง

แสวงหาด้วยความจริงใจ

แสวงหาด้วยความเต็มใจ

แสวงหาด้วยความตั้งใจ

แสวงหาด้วยความบริสุทธิ์ใจ

แสวงหาด้วยความหิวกระหายที่อยู่ในใจ

ถ้าเจ้าแสวงหาเราจะให้เจ้าพบ ให้กลับสู่สภาพดี นำกลับมา เมื่อเจ้าแสวงหาสิ้นสุดใจ ความยากคือ พระเจ้าจะให้เราพบหรือไม่ พระเจ้าอยากให้เราพบอยู่แล้วถ้าเราเป็นคนจริง พระเจ้ารู้ว่าจริงหรือไม่จริงพระเจ้าดูที่ใจ

การแสวงหาพระเจ้า มนุษย์มองไม่ออก มันดราม่ากันได้ มันปลอมได้ เลียนได้เนียนมาก มันแสดงละครกันได้ แต่พระเจ้ารู้ พระเจ้าจะเปิดเผยให้คุณพบ ลองถามตัวเองที่ผ่านมาได้พบพระเจ้าหรือยัง

ไม่ใช่คิดเพียงว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ ต้องถามว่าใจเราเป็นยังไง เรามีความกระหายหาพระเจ้าไหม เราจริงใจไหม เต็มใจไหม ตั้งใจไหม อะไรดีๆเกี่ยวกับใจใช่หมดเลย บริสุทธิ์ใจไหม กระหายจากภายในจิตใจไหม

สดด.๔๒: 1กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใดข้าแต่พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น 2จิตใจข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้าหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า?

กระเสือกกระสน กระหาย คือพวกคนเชื่อพระเจ้าใช่ไหม คำถามว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน คนไม่เชื่ออาจจะถามแบบนี้แล้วเราตอบคำถามได้ไหม

เราเป็นแบบนี้ไหมในการแสวงหาพระเจ้า สิ้นสุดใจไหม

ขอให้ระวังค่านิยม ตำข้าวสารกรอกเฉพาะหม้อ

หมายความว่า คริสเตียนคิดว่าไปสวรรค์ก็พอแล้ว เลยไม่ทำอะไรเลย จริงแล้วๆไม่พอ คนแสวงพระเจ้า คือคนที่ได้สัมผัสพระเจ้า เหมือนกวางกระหายหาพระเจ้า

บางคนเปรียบเรื่องนี้กับค่านิยมของคนทั่วๆไปว่า ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าเหมือนที่คนทั่วๆไปแสวงหาเงินทอง แสวงหาตำแหน่งหน้าที่การงาน แสวงหาอำนาจ แสวงหาลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ.ชีวิตของเราในวันนี้จะต้องดีกว่านี้แน่นอน

ลองหันมาสำรวจดูตัวเองในเรื่องนี้ดูทีหรือว่าเราต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินชีวิตในมุมไหนบ้าง เช่น เราใช้พลังงานแสวงหาพระเจ้า ขนาดไหน คุ้นเคยไหม ต้องทำอะไร ต้องใช้เครื่องมืออะไร

เราใช้แรงงานของเราในแต่ละวันแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน

เราใช้เวลา และใช้สติปัญญาของเราในการแสวงหาพระเจ้าอย่างทุ่มเทแค่ไหน

เราใช้ทรัพย์สินเงินทองที่เรามีอยู่เพื่อการแสวงหาพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน

โดยเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิต ใช้เวลา ใช้สติปัญญา และใช้เงินทองไปกับการแสวงหาสิ่งดีอื่นๆ อย่างไหนจะมากกว่ากัน

ตัวอย่าง .ประยูร บ้านอยู่ใกล้สุสานเวลาน้ำท่วมมีปูในรู ตอนเป็นเด็ก ก็ไปแสวงหาปูตามรู แต่ไปเจองู หาปูเสี่ยงกับเจองู บางครั้งเจอปลาช่อน ต้องเอาไม้แหย่ดูก่อน  แต่พอมารู้จักพระเจ้า กลับแสวงหาพระเจ้าหาไม่เป็น มาคริสตจักรแค่นมัสการ พระเจ้า พระเจ้ารอเราที่คริสตจักรแล้ว กลับบ้านก็ไม่แสวงหาพระเจ้าแล้ว เพราะพระเจ้าอยู่ที่คริสตจักร

คริสตจักรไม่ใช่ศาลเจ้านะครับ

ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่

ตอนผมเป็นนักเรียนตอนนั้นเป็นคริสเตียนใหม่เอี่ยมเลย ครูถามใครเป็นคริสเตียนบ้าง ให้ยืนบนโต๊ะ ครูถามว่าพระเจ้าอยู่ศาลไหน มีคริสเตียนกี่คนทำให้คนอื่นคิดว่าพระเจ้าเป็นแบบนี้

การแสวงหาพระเจ้าในชีวิตของเรา เราพบพระเจ้า หรือยัง ถ้ายังไม่พบ ทำไมไม่แสวงหาพระเจ้าให้พบ เราลงทุนในชีวิตกับอะไร ลองกลับมาสำรวจตนเอง

ทุกวันนี้เรื่องของพระเจ้า ถูกแทรงออกจากสารพัดอย่าง เอาเงินมาแทนที่พระเจ้า  จะคิดถึงพระเจ้า ก็เฉพาะตอนที่เดือดร้อน

แต่บางคนกลับรู้สึกเดือดร้อนเพราะต้องมาคริสตจักร ที่เดือดร้อนเพราะมีโอกาสหาเงินได้มากถ้าไม่มาคริสตจักร  จึงไม่คิดมานมัสการเพราะทำให้เขาเดือดร้อน

การแสวงหาพระเจ้า เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แสวงหาแค่สัปดาห์ละครั้ง

นอกจากนี้เรายังต้องทำความเข้าใจให้สมบูรณ์กับข้อความที่ว่าแสวงหาพระเจ้าในที่นี้อีก ประการ

. แสวงหาบุคคล 

การแสวงหาพระเจ้าไม่ได้หมายถึง การแสวงหาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หรือความศักสิทธิ์ของพระเจ้า แต่

หมายถึงการแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดของพระองค์ พระลักษณะของพระองค์

นิสัยใจคอของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์ เกี่ยวข้องกับทุกส่ิงที่เกี่ยวกับความเป็นบุคคลของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ ความรัก ความเมตตา ความกรุณา น้ำพระทัย พระประสงค์ของพระเจ้า  การแสวงหาพระเจ้าไม่ใช่แค่ความย่ิงใหญ่ของพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นบุคคลของพระองค์

เราแสวงหาความเป็นบุคคลของพระเจ้า ที่ทรงพระชนม์อยู่

สดด42:2จิตใจข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้าหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า?

หาพระเจ้าที่ทรงพระชนม์เพื่อเราจะได้มีสามัคคีธรรมกับพระองค์

เพื่อเราจะได้มีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกับพระองค์

เพื่อเราจะได้นมัสการพระองค์

พระคัมภีร์ได้สำแดงให้เราเห็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ไว้หลายประการด้วยกัน บางครั้งแสดงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับบุตร หรือในอนาคตเป็นความสัมพันธ์แบบคู่สมรส  พระคริสต์เป็นเจ้าบ่าวกับคริสตจักรเป็นเจ้าสาว บางครั้งก็แสดงความสัมพันธ์พระคริสต์เป็นเถาองุ่นกับผู้เชื่อเป็นแขนง เป็นต้น

แสวงหาพระเจ้า ผ่านพระคัมภีร์ ถ้าอยากจะเชี่ยวชาญต้องกลับมาที่พระคัมภีร์ ไม่ใช่การฟังคนนั้นคนนี้พูดที พระคัมภีร์เพียงพอสำหรับการแสวงหาพระเจ้าให้พบ ขอให้ระวังเวลามีการประชุมฟื้นฟู จะมีคนมาสำแดงอะไรแปลกๆ ถ้าไม่ระวังไม่อย่างนั้นเละเละ พระคัมภีร์เพียงพอจริงๆ มีคนพยายามอธิบายพระเจ้า ปนเปไปกับความคิด ปนไสยศาสตร์ อย่างนี้ยิ่งต้องระวัง อย่าปนกันเด็ดขาด มันคนละเรื่องกัน

. แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า

มธ.:๓๓

33แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า   และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน   แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้   

คำว่าแผ่นดินของพระเจ้าหมายถึงการปกครองของพระเจ้า การควบคุมของพระเจ้า

มนุษย์ต้องมีการควบคุมตลอดเวลา อย่าไว้ใจตนเอง จะหลุดออกจากทางของพระเจ้า มาให้พระเจ้า ปกครองเรา ยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ให้พระเจ้า บางคนขอให้พระเจ้าคุ้มครองแต่ไม่ยอมให้พระเจ้าครอบครอง พระเจ้าให้เราปลอดภัยอยู่แล้ว พระเจ้าแนะนำเส้นทางปลอดภัยให้เรา ถ้าเราอยากปลอดภัย เราต้องอยู่ในการครอบครองของพระเจ้า  ส่ิงนี้เป็นการป้องกันเรา เมื่อเรายอมให้พระเจ้าควบคุมชีวิตเรา การแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า คือการแสวงหาการปกครองของพระเจ้า

มีกี่คนที่อธิฐานกับพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยเรา เพราะถ้าเราไม่ขอ พระเจ้าไม่บังคับถ้าเราไม่ยอม พระเจ้าทรงปกครองเราด้วย พระวจนะของพระองค์ หากเราไม่แสวงหาพระคัมภีร์ ที่เปิดเผยพระดำรัสอันดีเลิศของพระเจ้า

ถ้าคุณยอมให้พระเจ้าปกครอง คุณก็จะกลับเข้าหาพระคัมภีร์ และคุณก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ ดังนั้นเราต้องอ่าน ต้องศึกษา ต้องดำเนินตาม

พระเจ้าทรงปกครองเราด้วยพระดำรัสทั้งสิ้นของพระองค์ และพระคริสตธรรมคัมภีร์คือพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยอันดีเลิศของพระองต่อมนุษย์ทางพระวจนะของพระองค์ เพื่อให้เราทั้งหลายที่เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ดำเนินตาม (เชื่อฟัง) จึงจำเป็นที่เราจะต้องมีความเชี่ยวชาญพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง

. แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า(มธ.:๓๓)

หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต ที่บริสุทธิ์ ตามมาตรฐานพระเจ้า พระคัมภีร์เปิดเผยให้เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ชีวิตของมนุษย์จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืน และดำเนินอยู่อย่างปกติสุขได้บนพื้นฐานแห่งความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาให้มีธรรมชาติแบบนั้น

ตั้งแต่เอเดนเป็นต้นมาไม่มีใครเป็นคนชอบธรรม พวกเขาต้องตาย แม้ว่าเขาได้แสวงหาความชอบธรรมของตนเอง ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่มนุษย์ทำบาป ธรรมชาติบาปได้เข้ามาทำลายธรรมชาติแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าในชีวิตของมนุษย์ และได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ศาสนา ปรัชญาจึงเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ ต้องการแสวงหาความชอบธรรมแบบความคิดของมนุษย์  ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถปลดปล่อยให้มนุษย์ ออกจากความบาปได้

ดังนั้นความตายจึงเกิดขึ้นกับมนุษย์ ความตายทำให้มนุษย์ หลุดจากความชอบธรรม

ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้นจากความตาย เราต้องแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า

ที่ถูกความบาปทำลายไป ให้กลับเข้ามาในชีวิตของเราใหม่ ตัวบาปแท้จริงนั้น คือ ตัวเรา ตัวมนุษย์นี่แหละ ความบาปกลายเป็น DNA  ในชีวิตของเรา ดังนั้นคนบาปต้องตายก่อน จึงเกิดใหม่ในพระเจ้า โดยรับความชอบธรรมของพระเจ้า เป็นความชอบธรรมของเรา ไม่ใช่เราหาความชอบธรรมด้วยตนเอง

พระเยซู ชี้แจงว่ามีทางเดี่ยวที่ทำให้เราชอบธรรมคือ ทางของพระเจ้า วิธีของพระเจ้า   ซึ่งความเป็นไปได้นั้นมีเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น แต่มี ขั้นตอน 

ขั้นตอนที่๑โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ (รม.:)

1เหตุฉะนั้น   เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว   เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า   ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

หาแสวงความชอบธรรมของตนเอง ความบาปก็ยังแผงฤทธิ์ แต่ความชอบธรรมของพระเจ้าจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากบาปแท้จริง

ขั้นตอนที่๒ โดยการรักษาชีวิตที่ชอบธรรมจากพระเจ้านี้ให้คงอยู่ตลอดไปโดยการดำเนินชีวิตในความชอบธรรมของพระเจ้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางจากพระธรรม รม.:, ๑๒๑๓

4เหตุฉะนั้น   เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว   โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น   เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว   เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน   

12เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน   ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป   ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม   แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า   เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว   และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า

อวัยวะของเราในกิจกรรมชอบธรรมทั้งสิ้น อย่ายกอวัยวะให้กับบาป กิจกรรมใดไม่มีพระเจ้าไม่มีความชอบธรรม อย่าทำ

ตลอดอายุที่ผ่านมาหากได้ทำกิจกรรมที่ไม่มีพระเจ้า วันนี้พอได้หรือยัง ถ้าท่านแสวงหาพระเจ้าวันนี้ ท่านจะไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆ แต่ถ้าหากท่านหาแต่สิ่งดีๆๆๆ แต่ทอดทิ้งพระเจ้า ท่านจะเหนื่อย รู้สึกเหนื่อยไหมกับชีวิต แล้วจะเหนื่อยต่อไปทำไม

อฟ5:1717 เพราะเหตุนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าอะไรคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าอย่าเป็นคนโง่ แต่ให้แสวงหาพระเจ้า

อย่าโง่ เพราะชีวิตสั้นมาก อย่าหาสิ่งของฝ่ายโลก เพราะเป็นหยากเยื่อ เป็นเหมือนขยะ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่เลย

จงยกอวัยวะของท่านให้กิจกรรมที่ชอบธรรม งานประกาศต้องเข้าร่วม ชวนคนในชุมชนเข้ามา จัดกีฬาเพื่อดึงนักกีฬา จัดสอนภาษา จัดทำอาหาร จัดดนตรี เพื่อให้คนเข้ามา รู้จักกับพระเจ้า สอนคอมพิวเตอร์เพื่อการประกาศ ต้องยกอวัยวะให้การชอบธรรม 

รม6:13อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนคนที่เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า

สรุปความจากพระธรรม สองตอนนี้คือ

1.หลังจากที่เราได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องดำเนินชีวิตตามธรรมชาติของชีวิตใหม่ที่ชอบธรรมต่อไป (:)

2.ต้องคอยระวังอย่าเปิดโอกาสให้บาปเข้ามาครอบงำร่างกายขอเรา ซึ่งทำให้เรากลับไปทำบาปอีก (:๑๒) ซึ่งช่อทางที่บาปจะเข้ามาคือ ความคิด การมอง การฟัง แล้วมันจะควบคุมให้เราทำบาป ทางจินตนาการ(ความคิด) ทางการพูด ทางการกระทำจากส่วนต่างๆของร่างกาย

3.อย่ายกอวัยวะให้แก่บาป อย่าปล่อยให้ความคิด การมอง การฟัง ไปข้องแวะกับความบาปทุกชนิด นิดเดียวก็ไม่ได้ เมื่อบาปไม่ได้โอกาสที่จะแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของเราทั้งสามทางแล้ว จินตนาการของเรา คำพูดของเรา และการกระทำของเราก็ไม่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนเข้ามา

4.ถวายตัว ยกอวัยวะให้เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า คือการ

ถามตัวเองแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า จริงไหม รับใช้พระเจ้า จริงไหม การรับใช้อย่างน้อย 5 ด้าน ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า

1.ตามพระมหาบัญชา มธ28:

2.ตามของประทาน อฟ4:

3.ตามภาระใจ กจ15:36 ไปเยี่ยมพี่น้องทุกเมืองที่เราไปประกาศ ดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง บรานาบัสก็ตอบสนอง

4.ตามนิมิต กจ16:6-10 ไปประกาศมาซิโดเนีย โดยได้รับนิมิต

5.ตามน้ำพระทัย (ตามการทรงนำ) ตามสถานการณ์ .เปาโลเดินทางเรี่ยไรเงินให้พี่น้องคริสเตียน แถวยูเดีย พอไปส่งเงินเรียบร้อยแล้ววางแผนจะไปโรมเตรียมเงินเรียบร้อย ปรากฎว่าพอนำเงินมาให้แล้ว .เปาโลถูกจับ ท่านจึงรู้สึกว่าหมดหวัง กจ23:11ในคืนวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมายืนอยู่ข้างเปาโลตรัสว่าเจ้าจงมีใจกล้า เพราะว่าเจ้าเป็นพยานให้เราในกรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานในกรุงโรมอย่างนั้น

แต่พระเจ้า ยืนยันว่าจะได้ไปโรม นี่คือสถานการณ์ที่เขาเจอ ต้องรับใช้พระเจ้าตามสถานการณ์ แม้ติดคุก แม้ดูไม่ดี แต่ก็เกิดผลดีได้ ฟป1:12พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐแผ่ขยายออกไป

สถานการณ์ที่เขาคิดไม่ถึงพระเจ้าให้เกิดผลได้เป็นพยานกับอากริปปา เฟลิกส์

วันนี้อย่าให้มีใครว่างซักคนในคริสตจักร ถ้าว่างแล้วจะทำบาป การจัดกิจกรรมชอบธรรมเป็นการช่วยสร้างชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ส่วนใครคิดเองได้ทำเลยไม่ต้องรอคริสตจักร  ใครคิดเองไม่ได้ให้คริสตจักรช่วยคิดแล้วร่วมกิจกรรม

หรือรับใช้ตามสิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์

. แสวงหาพระมรรคาของพระเจ้า (อพย.๓๓:๑๓)

13เหตุฉะนี้  ถ้าแม้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว   ขอพระองค์ทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ แล้วจะรับความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์เสมอไป และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์

อพย33:13 โมเสสขอดูหน้าพระเจ้าหน่อย  ส่ิงดีอยู่ในพระมรรคาของพระเจ้า ความเมตตาอยู่ในนั้นหลายคนไม่รู้ พระคัมภีร์เขียนโดยได้รับการดลใจเพื่อให้ส่ิงดีๆกับเรา ยิ่งเราเชี่ยวชาญมากเท่าไหร่ เราจะแสวงหาพบ จะมีสิ่งดีมากขึ้นแค่นั้น

พระเจ้าสำแดงมรรคาเพื่อให้เรารู้จักพระองค์  และเพื่อเราจะได้รับความเมตตาจากพระองค์ เมื่อเราพบพระเจ้า ในฐานะที่พระองค์เป็นบุคคล ขอให้เรามีชีวิตนมัสการ มีชีวิตสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

เมื่อเราพบพระเจ้า  เราจะได้นมัสการและมีสามัคคีธรรมกับพระองค์

เมื่อเราพบแผ่นดินของพระเจ้า ได้อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์

เมื่อเราพบความชอบธรรมของพระเจ้า ได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์

สิ่งต่อไปที่เราต้องแสวงหา ในพระเจ้าคือ แนวทางการดำเนินชีวิตใหม่จากพระเจ้า

รม.: ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไร เราจะอยุ่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ เปล่าเลย เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เพราะฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดา ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย โดยพระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน   

พระธรรมตอนนี้  ชี้ให้เราเห็นว่า ในการดำเนินชีวิตใหม่ที่ชอบธรรมขอเราจากพระเจ้า  ก่อนอื่นเราต้องทิ้งวิถีชีวิตเก่าของเราให้หมดไปก่อน ปล่อยให้มันตายไป อย่ากำ อย่าเกาะ หรืออย่าเก็บบางอย่างไว้ เพราะจะทำให้เราไม่แสวงหาพระมรรคาของพระเจ้าอย่างจริงจัง

ต้องระวังประสบการณ์ความสำเร็จจากวิถีเก่าทำให้เรายังคิดเก็บเกี่ยวผลประ โยชน์จากวิถีของสิ่งสารพัดเก่าๆ เนื่องจากวิถีชีวิตใหม่นี้เป็นสิ่งใหม่หมด ตาม ๒คร.:๑๗ 17เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์   ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว   สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป   นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

มีส่ิงใหม่เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่หากมีของเก่ามาปนกับของใหม่ มันก็กลายเป็นของไม่ดีอยู่ดี

ชีวิตบาป ชีวิตตัวเก่าต้องตาย และฝังไว้กับพระคริสต์ เมื่อเราเป็นขึ้นมาใหม่ เราต้องแสวงหาพระเจ้า ซิครับ แล้วคุณจะไม่ขาดสิ่งดีใดๆเลย

ชีวิตใหม่อยู่ในพระคัมภีร์ พระมรรคาอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ใช่คำคมแบบโลก

คำคม เรียกให้เรารับผิดชอบ แต่คำคมของพระเจ้าให้เราพบพระเมตตาทุกก้าว เราจะเห็นพระเมตตาบนวิถีของพระเจ้าในแต่ละก้าวเมื่อเราก้าวไปในมรรคาของพระองค์ เราจึงต้องแสวงหาพระเจ้า เป็นวิถีที่คู่กับชีวิตใหม่ทั้งหมด

ขอบคุณพระเจ้าที่ พระมรรคาของพระองค์ถูกรวบรวมไว้ในที่เดียวกันเรียบร้อยแล้ว คือ ได้รวบรวมไว้ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะของพระจ้า ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้พระวจนะของพระเจ้าอย่างเชี่ยวชาญ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันของเราตลอดชีวิตที่อยู่ในโลกนี้

ตัวอย่างจากพระธรรมต่อไปนี้

ฟป.:  3อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกัน หรือ (อย่า)ถือดี   แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว   แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย

ไม่ชิงดีกัน ไม่ถือดี ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นและส่วนรวม

พระธรรม รม.๑๒: ไม่ลอกเลียนแบบคนในยุคนี้

๒คร.:๑๖ 16เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป   เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก   แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง   แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก

ไม่นำมาตรฐานของโลกมาใช้ในการพิจารณาพระเจ้าหรือคนอื่นๆ

๒คร.๑๐: เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็มิได้สู้รบตามโลกียวิสัย

ไม่สู้รบตามโลกียวิสัย

มีกี่คนที่เคยน้อยใจ ทำไมพระเจ้าจึงให้เกิดเรื่องร้ายๆกับชีวิตของตัวเอง วันนี้เราต้องมาถามตัวเองว่าเราเดินไปในทางไหน ใช่ทางแห่งพระมรรคาของพระเจ้าหรือไม่

มรรคาของพระเจ้าในทุกๆก้าว

มีพระเมตตาของพระองค์

แล้วคุณไปเดินเส้นทางไหนมาจึงไม่พบพระเมตตาของพระเจ้า

หลายคนอาจจะร้องเพลง ทำไมถึงต้องเป็นเรา วันนี้เราต้องจัดระบบความคิดเราใหม่ โดยพระวจนะของพระเจ้า  สภษ1: บอกว่าเราจะเป็นคนฉลาด ถ้าเราไม่ดำเนินตามค่านิยมแบบโลก แต่ให้ดำเนินตามพระมรรคาของพระเจ้า

สรุป สดด.๓๔:๑๐

เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดแคลนสิ่งดีใดๆ

ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้สดด19:7-14 พระวจนะของพระเจ้ากับคนของพระเจ้าที่เชื่อพระวจนะนั้น
บทความถัดไปรับใช้เต็มท่าที

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่