อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์

เทศนาอาทิตย์ที่  3 พ.ย. 2019

คริสตจักรชีวิตรุ่งเรือง (GLC)

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริงตอนที่  3 อสค34:25-31

1.พระเจ้าทรงทำพันธสัญญา (25)

2.พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อรับพันธสัญญา (30-31)

25เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขาและกำจัดสัตว์ร้ายเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้อย่างปลอดภัย และนอนอยู่ในป่าได้ 26เราจะทำให้พวกเขากับสถานที่รอบๆ เนินเขาของเราเป็นแหล่งพร เราจะส่งฝนลงมาตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพร 27ต้นไม้ในทุ่งจะเกิดผล และพื้นดินจะเกิดผลผลิต พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา ทั้งจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์เมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้กักเขาให้เป็นทาส 

28พวกเขาจะไม่เป็นของริบของบรรดาประชาชาติอีกต่อไป และสัตว์ป่าบนดินก็จะไม่กัดกินเขาทั้งหลาย และพวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว29และเราจะจัดหาที่เพาะปลูกอันลือชื่อแก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินอีกต่อไป ไม่ต้องทนรับความอับอายจากบรรดาประชาชาติ

30แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เรา ยาห์เวห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล เป็นประชากรของเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 31เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในทุ่งหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นคนของเรา และเราเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

พระธรรมเอเสเคียล34 ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ช่วงยูดาห์ อิสราเอลฝ่ายใต้เมืองหลวงอยู่ที่เยรูซาเล็ม ถูกนำไปเป็นเชลยที่บาบิโลน พระวิหารถูกทำลาย

อสค33:21และอยู่มาเมื่อวันที่ 5 เดือนที่ 10 ในปีที่ 12 ซึ่งเราได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย คนหนึ่งที่หนีมาจากกรุงเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้า กล่าวว่าเมืองนั้นแตกเสียแล้วอยู่ในเวลาช่วงเดียวกันกับเหตุการณ์ใน

2พกษ25:1-4 และอยู่มาเมื่อวันที่ 10 เดือน 10 ปีที่ 9 แห่งรัชกาลของเศเดคียาห์ (king 21th)เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงยกทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้และเขาทั้งหลายได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ 2กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่ 11 แห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ 3เมื่อถึงวันที่ 9 ของเดือนที่ 4 เกิดการกันดารอาหารรุนแรงในกรุงนั้น ไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน 

4แล้วกรุงนั้นก็แตก ทหารทั้งสิ้นหนีออกไปในเวลากลางคืนตามทางประตูเมือง ระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมพระราชอุทยาน (ทั้งๆ ที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง) และพระราชาก็เสด็จตามทางไปลุ่มแม่น้ำจอร์แดน

สถานการณ์ของยูดาห์ในเวลานั้นคือ การสิ้นชาติ เจอความทุกข์ยากลำบากต้องไปเป็นเชลย ครอบครัวพลัดพราก ความมั่นคงไม่มี อนาคตไม่มี ศักดิ์ศรีไม่มี พวกเขาเป็นประชากรของพระเจ้า แต่การที่พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริงให้ความหวังกับเราในการกลับมาหาพระเจ้า

จากตอนที่แล้วเราได้เห็นถึง ความเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า คือ พระองค์จะตั้งผู้เลี้ยงให้ดูแลคนของพระเจ้า และพระเจ้ามีการพิพากษาอย่างยุติธรรม ก่อนหน้านั้นเราเห็นความเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้าผ่านการรื้อฟื้น การช่วยให้รอด และการเลี้ยงดู

วันนี้ให้เรามาศึกษาพระธรรม อสค34:25-31 ด้วยกันหัวข้อคำเทศนาในวันนี้ คือ  พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริง ตอนที่ 3

1.พระเจ้าทรงทำพันธสัญญา (25)

25เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขาและกำจัดสัตว์ร้ายเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารได้อย่างปลอดภัย และนอนอยู่ในป่าได้

การทำพันธสัญญาของพระเจ้า เป็นเหมือนการให้คำสัญญาที่จะให้คนอิสราเอล หรือคนของพระเจ้า มีสวัสดิภาพชีวิตที่ดี มีคำว่าปลอดภัยหลายครั้ง

ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายในข้อ 25

ปลอดภัยจากการกันดารอาหาร ข้อ 27

27ต้นไม้ในทุ่งจะเกิดผล และพื้นดินจะเกิดผลผลิต พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา ทั้งจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์เมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้กักเขาให้เป็นทาส

ปลอดภัยจากดาบ จากศัตรู มีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพ เป็นไท ไม่เป็นทาส ข้อ28 28พวกเขาจะไม่เป็นของริบของบรรดาประชาชาติอีกต่อไป และสัตว์ป่าบนดินก็จะไม่กัดกินเขาทั้งหลาย และพวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว

สรุป สิ่งที่อิสราเอลจะได้รับในข้อ 29 และเราจะจัดหาที่เพาะปลูกอันลือชื่อแก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินอีกต่อไป ไม่ต้องทนรับความอับอายจากบรรดาประชาชาติ

ความหมายรวมพระเจ้าทรงทำพันธสัญญาคือ พระเจ้าจะไม่ลงโทษพวกเขา หรือพิพากษาเขาเหมือน สถาการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่จะให้เขามีสวัสดิภาพ มีความปลอดภัยในชีวิต

พระเจ้าเป็นคนริเริ่มทำพันธสัญญาไม่ขึ้นอยู่กับความดี ความสามารถของเรา ว่าจะมีความเหมาะสมมากพอที่จะรับพันธสัญญาหรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้ายังคงรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเราเสมอ แต่เราเองต่างหากที่จะเป็นคนรับผลร้ายเมื่อเราหักพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา

โมเสสได้บันทึกเฉลยธรรมบัญญัติเพื่อเตือนอิสราเอลให้รักษาพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับพวกเขา ฉธบ4:20,29-31,35

20แต่พระยาห์เวห์ทรงเลือกท่านทั้งหลายและทรงนำท่านออกมาจากเตาเหล็กคือจากอียิปต์ ให้เป็นประชากรในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

29แต่ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ ท่านจะพบพระองค์30เมื่อท่านมีความทุกข์ลำบาก และทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน ในกาลภายหน้า ท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์31เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งท่านหรือทำลายท่านหรือลืมพันธสัญญา ซึ่งทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของท่านโดยการปฏิญาณ

35ที่ได้ทรงสำแดงแก่ท่านนั้นก็เพื่อท่านจะทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย

ฉธบ5:2-3,33 2พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงทำพันธสัญญากับเราที่

โฮเรบ3ไม่ใช่พระยาห์เวห์จะทรงทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเราเท่านั้น แต่ทรงทำกับเราคือเราทุกคนผู้มีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้ 33 จงดำเนินตามวิถีทางทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และท่านจะมีชีวิตยืนนานอยู่ในแผ่นดินซึ่งท่านจะยึดครองนั้น

พระเจ้าย้ำเรื่องพันธสัญญาว่าพวกเขาต้องรักษาเพื่อพวกเขาจะปลอดภัย

ฉธบ7:9-11 ฉะนั้นจงทราบเถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าซื่อสัตย์ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ต่อบรรดาผู้ที่รัก พระองค์และรักษาบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน 10และทรงตอบแทนผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อตัวเขาเอง โดยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบแทนต่อตัวเขาเอง 11ดังนั้นพวกท่านจงระวังที่จะทำตามบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้

2.พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อเป็นผู้รับพันธสัญญา(30-31)

30แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เรา ยาห์เวห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล เป็นประชากรของเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 31เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในทุ่งหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นคนของเรา และเราเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

พระเจ้าสถิตย์อยู่ด้วย พระองค์จะเป็นผู้ปกป้อง เป็นผู้ช่วยเหลือ เป็นผู้จัดหา เป็นผู้รักษา เพราะพวกเขาเป็นประชากรของพระเจ้า

พระเจ้าให้ผู้เชื่อเป็นคนของพระเจ้า เปรียบเทียบเป็นแกะของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของเขา คำสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อคนของพระเจ้า ตลอด อสค34 จึงหมายความ พระเจ้าทรงรื้อฟื้น พระเจ้าทรงช่วยให้รอด พระเจ้าทรงเลี้ยงดู พระเจ้าทรงพิพากษา พระเจ้าทรงตั้งผู้เลี้ยง

พระเจ้าทรงทำพันธสัญญา และพระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อเป็นผู้รับพันธสัญญาทั้งหมดนี้เพื่อเราจะมีสวัสดิภาพมีความปลอดภัย แต่เราต้องรับพันธสัญญานี้และดำเนินตามก่อนหน้านั้นพระเจ้าได้เตือนอิสราเอลให้รักษาพันธสัญญาอย่าหักพันธสัญญา เพราะการหักพันธสัญญาจะทำให้เขาไม่ได้รับสวัสดิภาพ และความปลอดภัย

พวกเขาจะได้รับอันตรายจากการที่พวกเขาหักพันธสัญญาของพระเจ้า   

อสค17:18-19 เพราะเขาผู้นั้นดูหมิ่นคำสาบานและหักพันธสัญญา และเพราะเขาได้สาบานตนแต่ยังทำสิ่งเหล่านี้ เขาจะหนีรอดไปไม่ได้ 19เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะเรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร คำปฏิญาณของเราที่เขาได้ดูหมิ่น และพันธสัญญาของเราที่เขาได้หักเสีย เราจะลงทัณฑ์ให้ตกเหนือศีรษะของเขาผู้นั้น

แต่พระเจ้าจะรื้อฟื้นพันธสัญญา พระเจ้าจะสำแดงความดีกับพวกเขาจนพวกเขาอายต่อสิ่งที่ทำผิดไป เพราะพระเจ้ายกโทษความผิด

อสค16:59-63“เออ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เราจะทำกับเจ้าเหมือนอย่างที่เจ้าได้ทำแล้วนั้น เจ้าผู้ดูหมิ่นคำสาบานด้วยการหักพันธสัญญา 60ถึงกระนั้นเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเรา ซึ่งเราทำไว้กับเจ้าในสมัยเมื่อเจ้ายังสาวอยู่ และเราจะสถาปนาพันธสัญญานิรันดร์ไว้กับเจ้า 61แล้วเจ้าจะระลึกถึงวิถีชีวิตของเจ้า และมีความละอาย เมื่อเจ้ารับทั้งพี่สาวและน้องสาวของเจ้า และเรามอบพวกเขาให้เป็นลูกสาวของเจ้า แต่ไม่ใช่ตามพันธสัญญาซึ่งทำไว้กับเจ้า 62เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือยาห์เวห์ 63เพื่อว่าเจ้าจะจำได้และมีความละอาย เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะขายหน้า เมื่อเราลบมลทินบาปในทุกสิ่ง ที่เจ้าได้ทำมาแล้วพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

พระเจ้ามีความตั้งใจในการดูแลพวกอิสราเอลอย่างมาก อยากเปลี่ยนใจพวกเขาให้เป็นคนของพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระวจนะ  ไม่อยากให้หลงไป

อสค11:19-20 และเราจะให้ใจเดียวแก่เขาทั้งหลาย และเราจะใส่วิญญาณใหม่ไว้ภายในพวกเขา เราจะนำใจหินออกไปจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขาทั้งหลาย 20เพื่อเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและรักษากฎหมายของเราทั้งทำตามสิ่งเหล่านั้น แล้วเขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราเองจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย

อสค14:11เพื่อว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่หลงเจิ่นไปจากเราอีก และจะไม่ทำตัวให้มลทินด้วยการล่วงละเมิดทุกอย่างของเขาอีก แล้วเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

พระเยซูให้สาวกรับมหาสนิทเล็งถึงพันธสัญญาใหม่ เฉพาะคนที่เชื่อเท่านั้นจึงจะรับได้ เพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงพระเยซู พระเจ้าผู้ตายไถ่บาป และให้ประกาศ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา 

1คร11:23-26เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่านี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” 

25หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่าถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา” 26เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

เปโตรย้ำกลับพวกยิวในเวลานั้น เรื่องให้เชื่อในพันธสัญญา

กจ3:25ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่าบรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า

คำว่าพันธสัญญา  รากศัพท์คือ 1242. diathéké  (dee-ath-ay’-kay)  ใช้ 9 ครั้งใน NT มาจากคำว่า dia ที่แปลว่า  throughly     กับคำว่า títhēmi, “place, set”) –  properly, a set-agreement having complete terms determined by the initiating party, which also are fully affirmed by the one entering the agreement..

ตามความหมายตรงตัว คือ พันธสัญญา หรือพินัยกรรม หรือหนังสือแสดงเจตจำนง ( Short Definition: a covenant, will, testament ).

อธิบายเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น หมายความว่า การตั้งข้อตกลงที่มีเงื่อนไขที่สมบูรณ์ ถูกต้อง กำหนดโดยบุคคลที่ริเริ่ม ซึ่งได้ยืนยันอย่างเต็มที่ในการเข้าร่วมข้อตกลงนั้น

ฮบ9:15-17 15เพราะเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกมาได้รับมรดกนิรันดร์ตามพระสัญญา เพราะความตายที่เกิดขึ้นนั้นไถ่พวกเขาให้พ้นจากบรรดาการล่วงละเมิดที่เกิดภายใต้พันธสัญญาเดิมแล้ว 16เพราะว่าในกรณีที่เกี่ยวกับหนังสือพินัยกรรม ก็จะต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำหนังสือนั้นตายแล้ว17คนนั้นต้องตายเสียก่อน หนังสือพินัยกรรมจึงจะมีผล แต่ถ้าผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้ 

พระเยซูนอกจากเป็นคนกลางแล้วยังเป็นผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ให้พันธสัญญานิรันดร์

ฮบ13:20-21 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงนำพระผู้เลี้ยงแกะยิ่งใหญ่คือพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราขึ้นมาจากความตาย โดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ 21ทรงให้พวกท่านเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่าง เพื่อที่จะทำตามพระทัยของพระองค์โดยทรงทำงานในเรา ให้เกิดผลเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน.

ตัวอย่าง ก่อนยอห์นจะตาย เขาได้ฝากเงินให้กับหมอ ผู้รับใช้ และคนรับใช้ของเขาคนละ 1 ล้านบาท โดยทั้งสามคนนี้ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องของคนอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาสามคนได้มานั่งคุยกันเรื่องที่ว่าพวกเขาได้พยายามบอกว่ายอห์นได้ไว้ใจพวกเขามากแค่ไหน และเขาได้ทำประโยชน์อย่างไร หรือพวกเขามีคุณธรรมเพียงไรกับเงินที่ยอห์นฝากไว้ให้พวกเขา

หมอ : บอกว่าเอาเงินไปสร้างโรงพยาบาล เพื่อเป็นเกียรติกับยอห์น เขาต้องการบอกว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรมและสร้างประโยชน์

ผู้รับใช้ : บอกว่าเอาแค่สิบลด ที่เหลือคืนให้กับครอบครัวของยอห์น เขาต้องการบอกว่าเขาเป็นคนสัตย์ซื่อ ไม่โลภ และมีคุณธรรม

คนรับใช้ : บอกว่าเขาตีเชคให้แทนเงินสด 1 ล้านที่ยอห์นให้มา เขาต้องการบอกว่าเขาเป็นคนมีคุณธรรมสูงมาก โดยเขาไม่ต้องการอะไรจากยอห์นเลย เพราะยอห์นให้เขามากเพียงพอแล้ว

(ความจริงแล้วเมื่อไหร่ยอห์นจะเอาเชคไปขึ้นเงินได้เขาตายไปแล้ว คนรับใช้เอาเงินสดไปทั้งหมดแต่พูดดูดีมีคุณธรรมเท่านั้น)

ขอให้เราเป็นคนที่ปากตรงกับใจตรงกัน เมื่อรับพันธสัญญาของพระเจ้าแล้ว ขอให้ดำเนินชีวิตตรงตามพระประสงค์ที่พระเจ้าผู้ประทานพันธสัญญาให้กับเรา

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

บทความก่อนหน้านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่แท้จริง อสค34:17-24 (ตอนที่ 2)
บทความถัดไปลก15:1-10 รักให้เหมือนที่พระเจ้ารัก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่